ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายย่อมยังธรรมทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อจากเตภูมิกวัฏอันมิใช่ฝั่งไปถึงฝั่ง คือ นิพพานด้วยประการดังนี้แล ฯ
เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติภายใต้ความแปรปรวนไปสู่การจบสิ้นสภาพ. - ขอจง มีลมหายใจแม้แผ่วเบา ได้สุดขั้ว กันเถิด.
ศึล - อินทรี - อาหาร - ชำระจิตให้ตื่นอยู่เสมอ
อำพล จงสิทธิผล
Ampol Chongsitthiphol
เสียสละ ... อดทน ... รับวิบากผู้อื่นไว้บ้าง ... ... แต่มันเหนื่อยนะ เหนื่อยสุดสุดเลยมึง
คำสั่งสอนจาก... พระอาจารย์ใหญ่
เมื่อเข้าสู่ ความนิ่งอันประเสริฐ แล้ว อินทรีย์สงบ จิตระงับ (การสลัดคืน จะเกิดตามมา) จะมีสภาพ ลำดับนี้
  • วิสุทธิ คือ สภาพใจสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ผุดผ่อง บรรเจิด ภายใน (และมีอนิสงค์ ต่อกายภายนอกในภายหลัง)
  • วิมุตติ คือ สภาพใจเป็นอิสระจาก สภาพแวดล้อมที่เจือด้วยภพ (ส่วนผสมโมหะ โทสะ โลภะ)

    มีนิพพาน เป็นที่สุด หรือ ปลายทางแห่งทุกข์ เส้นทางจิตจบลงแค่นี้ ด้วย ญานทัสสนะอันหมดจดเกลี้ยงเกลา

  • นิพพาน การอยู่ในสภาพไม่มีการก่อเกิด
    ( อันมาจาก ไม่คิดต่อ ปรุงแต่งต่อ เพราะตัวทำให้คิดต่อปรุงแต่งต่อคือ ตัวโมหะ โทสะ โลภะ)

กัลญานมิตรที่ดี ... ควรเป็นผู้มีวาจาไพเราะ เป็นที่ปรึกษาที่ดี และ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา๕ วิโมกข์๘ และ อภิญญา๖ พึงทำให้แจ้งชัด
พุทธศาสนาในความเข้าใจตามยุคสมัย ศตวรรษที่ 21 (จิตสอนสมอง)

ทุกข์ คือ การสืบต่อกระแสความคิด (รู้สึก อารมภ์ นึกคิด)
เพราะหลง จึงกระตุ้น กระแสความคิด
เพราะพยาบาท จึงกระตุ้น กระแสความคิด
เพราะโลภเกินพอ จึงกระตุ้น กระแสความคิด

โดยรวม เพราะไม่หยุดนิ่ง จึงกระตุ้น กระแสความคิด

จิต เป็นสมมุติ แทนกระแสความคิด แทนสิ่งที่กำลังสนใจ นั่นคือความคิดกำลังสนใจความคิด หรือ ใจกำลังสนใจใจ นี่เอง คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม กล่าวคือ ความคิดหนึ่ง(สนใจ)ให้ความสนใจกับความคิดอันหนึ่ง(ถูกสนใจ) หรือ ที่เรียกว่า ตัวรู้(คือ อาการให้ความสนใจ)

ที่สุดของทุกข์ คือ การหยุดการสืบต่อกระแสความคิด(เหตุ - สังขาร) นำพาไปสู่การหยุดต่อสภาพปฏิกริยาร่างกาย (ปัจจัย - วิปปฏิสาร - ก่อให้เกิดตัณหา)

วิธีการรวมจิตเบื้องต้น

  • การรวมจิต ต้องใช้สื่อสัญญาหนึ่ง(บริกรรม ภาพ รส กลิ่น เสียง หรือ อารมภ์) เพื่อ ดึงกระแส รู้สึก อารมภ์ นึกคิด ของสิ่งนั้นขึ้นอย่างแจ่มชัด อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
  • หรือ รอสภาพร่างกายให้นิ่งจนกระทั่ง ตัดการรับรู้ของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปเอง ซึ่งจะเกิดมีปิติชี้นำก่อน จากอาการคลายตัวทั้งหมด

อินทรีย์สงบคลายตัว สงบการเคลื่อนไหวอวัยวะภายใน เริ่มจากต้นตอ คือลมหายใจ และ หัวใจ ม่านตา
จิตระงับกระแสนึกคิด โดยเฉพาะ สารเอนโดฟิน ที่คอยกระตุ้นความจำ

ศีล ... ปฏิสสาร ... วิปะปฏิสสาร

ศีลวิทยาศาสตร์ธรรมะ
ศีล..ศรัทธา หยุดขบวนการปฏิสสารภายในกายและจิตธรรมะ
ศีล.. ...วิริยะ...
ศีล.. ... ... ...สติ...
ศีล.. ... สมาธิ...
ศีล..ปัญญา...
นิยามแห่งทุกข์
การสืบต่อของ โมหะ โทสะ โลภะ ทำให้มีการกระตุ้นสสารภายในกาย หรือ ปฏิสสาร อย่างต่อเนื่อง อันเป็นการ ไม่หยุดอยู่ ยังไม่เป็นที่พอใจจึงยังไม่ยอมหยุดให้คลายใจออกจากตรงนั้น สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับตนเอง
    นิยามแห่งสุข ... หรืออีกนัยหนึ่งคือ ที่สุดแห่งทุกข์
    การถึงที่สุดแห่งการปล่อยวาง .. การถึงที่สุด นี้ เป็นอาการภายในใจ สัมพันธ์ กับ ขั้วหัวใจ การคลายตัวที่สมอง จนสิ่งค้างคาต่างๆ หมดไป ซึ่งเป็นผลที่แสดงออกมาทางกายสังเกตุได้อย่างเด่นชัดในบั้นปลาย

วางใจ เบาใจ อุ่นใจ คลายกังวล... ต่อ สิ่งพะวงต่างๆนานา
มุ่งมั่น ... ที่จะปล่อยวาง
เข้าใจ ... การปล่อยวาง วิธีการปล่อยวาง ปรัชญาการปล่อยวาง
เต็มใจ ... ที่จะปล่อยวาง
เห็นอกเห้นใจช่วยเหลือพึ่งพา
ไม่เบียดเบียนกายใจตนเองและสรรพสิ่ง
สิ่งเร้าก่อเกิดปฏิกริยา การตอบสนองต่อสิ่งเร้า สิ่งรบกวน ... คือ เหตุและปัจจัย

นอกจาก อายตนะทั้ง6 ที่ใช้ในการรับรู้แล้ว ยังมี ลางสังหรณ์ และ นิมิต ที่ได้มาจากอายตนะพิเศษอีก ... ผู้ที่ปราถนาในอภิญญา จึงจะพัฒนาความสามารถนี้ ด้วยการดับอายตนะ6 เสียก่อน แล้วปล่อยให้ อายตนะพิเศษ ทำงานไปและมีโอกาสพัฒนาตัวเองให้คมชัดมากขึ้น


นี่คือธรรมที่ทำให้เกิดปิติ (ปิติ นี่คือ หัวใจผ่อนคลาย คลายออก เบาแผ่ว)

สำคัญที่ หัวใจคลายออก ผ่อนคลาย สะท้อนถึงการคลายออกที่สมอง นัยตา ม่านตา โดยการปลดปล่อยอารมภ์ ให้พ้นจากการพะวงอยู่กับกาย และกระแสความคิด โดยไม่มีกาย กายไม่มีอยู่จริง กายเป็นสภาพจากปฏิกริยาของสสาร ละทิ้งกายแบบว่ากายนี้กระเจิงออก กายนี้หมดความสำคัญไร้ความหมาย

ด้วยการระลึกถึง สถานที่ที่เวิ้งว้าง อ้างว้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ หรือ เนินทะเลทราย

นี้เป็นขั้นต้นเริ่มแรก ก่อนที่จะเข้าสู่การรวมจิตเป็นฌานใดๆ


ทำไมคนจึงยังเดือดเนื้อร้อนใจกันอยู่

เพราะยังยึดถืออยู่ ยังไม่ยอมวาง ยังยึดถือภาระหน้าที่ ยังยึดถือความคิดความเชื่อความปักใจ ยังยึดถือความต้องการ ความอยาก ความเป็นเจ้าของในสิ่งที่เป็น สิ่งที่มีไม่ได้ ยังหาความเดือดร้อนใส่กายใส่ใจ


ฌาน 1-8

สภาพก่อนฌาน
กายและใจ ไม่มีความผ่อนคลาย ยังมีกระแสความคิดหลากหลายเข้ามาอย่างมากมาย

ฌาน 1
กายยังไม่ผ่อนคลาย และ หลอมเป็นอารมภ์เดียวกับใจ ยังอยู่ในสภาพพยายามรวบรวม ความคิดและอารมภ์ ให้อยู่กับสิ่งๆหนึ่ง ที่จะสามารถทำให้ผ่อนคลายได้

ฌาน 2
ใจเริ่มที่จะ รู้สึกถึงอารมภ์ของสิ่งๆนั้นได้ และพยายามหลอมรวมกายและอารมภ์เข้าด้วยกัน คือ ตัดสภาพการรับรู้กาย และ ความคิดพะวงเกี่ยวกับกาย ออก

ฌาน 3
ใจรวมเข้ากับความอารมภ์ของสิ่งๆนั้นได้แล้ว ทำให้ตัดความกังวลเกี่ยวกับกายออกได้ แต่ยังไม่ตัดการรับรู้ของกายออก และมีอาการแสดงออกทางกายและใจ

ฌาน 4
กายและใจ สงบจาก การแสดงออกต่างๆ

ฌาน 5
จิตตัดการรับรู้ทางกายโดยสิ้นเชิง ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัส ทำให้จิตมีอารมภ์เดียวอย่างแท้จริง คือไม่มีอะไรเลย

    โดยสรุป
    1. ทำลมหายใจ และ หัวใจ ให้แผ่วเบาเสียก่อน ด้วยก่อน ผ่อนคลาย กายและใจ
    2. เมื่อทำได้แล้ว ก็ทำให้จิตมีอารมภ์เดียว อยู่กับภายในที่ มีอาการเบาจากการผ่อนคลาย จะเข้าถึงความว่างเปล่า
    3. ในอรูปฌาน ขณะที่จิตมีอารมภ์เดียว สามารถ กำหนดอารมภ์ต่างๆ ได้แก่ อากาศ อารมภ์บรรยากาศต่างๆ อารมภ์สันโดษลำพัง อารมภ์ที่กึ่งมีกึ่งไม่มีเนื่องจากจิตจะทิ้งสัญญา

เมื่อจิตสามารถรวมเป็นฌานได้ในเบื้องต้น จะมีลักษณะเหมือน การโดดลงไปในทะเลดำดิ่งลงไป โลกภายนอกจะหยุดเงียบลงใต้ทะเลนั้น หรือ การพุ่งเข้าไปในอวกาศ โลกภายนอกจะถูกตัดขาดเงียบสนิท



เจโตวิมุตติ = การปล่อยวางทางใจ คือ ปล่อยวางจากตัณหา ไม่ยึดตัณหาเป็นสำคัญ ไม่สำคัญในตัณหา
ปัญญาวิมุตติ = การปล่อยวางกระแสความคิด คือ การไม่ยึดติดไปตามกระแสความคิด ไม่สำคัญในกระแสความคิด

เมื่อเทียบกับจักรวาลที่รวมแห่งสสารเปล่งแสงและสสารไม่เปล่งแสง วัฏฏสงสารเป็นเพียงภพเล็กๆ ที่ไร้ความสลักสำคัญ เมื่อเทียบกับความเป็นไปของขนาดของจักรวาลอันไพศาล จักรวาลส่วนที่เราอยู่นี้ เป็นเปลือก เป็นเศษกากขยะเปลือกนอกที่เย็นตัวของสสารอีกชนิดหนึ่งที่มีความร้อนสูงแต่ไม่มีแสง จึงเต็มไปด้วยความสกปรกโสมมของกากอนุภาค ที่เปลี่ยนมาจาก ความบริสุทธิ์


มนุษย์ มีอยู่ 2 อย่าง คือ ตัณหาจากใจ และ กระแสความคิด ที่ประกบประกอบกัน ให้ความเอื้อต่อกันอยู่เป็นนิจ จึงเป็นลักษณะของการสืบต่อ
การหยุดตัณหาจากใจและกระแสความคิด คือ การละทิ้งการให้ความสำคัญ โดยการไม่ยึดถือ หรือ วางใจ ออกจากสิ่งสองสิ่งนี้ บนวิหารธรรมแห่ง ความเป็นอิสระ ไม่ผูกพัน ไม่โง่งมจม อยู่กับ สิ่งไม่มีตัวตน สิ่งเปล่าประโยชน์ (โมหะ-กามตัณหา โทสะ-วิภาวะตัณหา โลภะ-ภวตัณหา)
ความชื่นบานใจ อันมีต้นกำเนิดมาจาก การปล่อยวาง นั้นเป็นธรรม ( ความชื่นบานที่มาจาก ความสมปราถนา ทางด้านกิเลสราคะ นั้นไม่เป็นธรรม ได้มาพร้อมกับ พิษตกค้าง ความชื่นบานนี้จะอยู่ได้เพียงระยะสั้นๆ)

ลองฝึกหัด เปลี่ยนสิ่งที่เห็นเป็นขาวและดำ หรือ โปร่งมีแต่ลายเส้น


ความสงบ สงัด ใน ซอกห้วย ท้องถ้ำ ใต้ทะเล ในอากาศ ในอวกาศ ทำให้อินทรีย์ปรับตัว แปรตาม เข้ากับความสงบนั้นด้วย
การผ่อนคลายที่ม่านตา เป็นสิ่งจำเป็น ดั่งในการฝึกกสินต่างๆ ให้มองแสงลอดช่อง ในระยะไกลๆ หรือ มองสิ่งที่ไกลสุดโฟกัสไปที่จุดๆนั้น ที่ซ่อนอยู่ในภาพใหญ่ ก็เพื่อการนี้

ทุกข์ คือ ความไม่โล่งกาย ไม่โล่ง หรือ ความไม่สงบแห่งกาย ความไม่สงบแห่งใจ
สมุทัย ต้นเหตุอันมีอยู่จาก กามตัณหา(โมหะ) ภวตัณหา(โลภะ) วิภาวะตัณหา(โทสะ) อันจบได้ หยุดได้ ทำให้หมดสิ้นไปได้ด้วย
นิโรธ ปล่อยวางใจ
นิโรธคามินี ปฏิปทา ด้วยต้นตอ แห่งสัมมาทิฏฐิ 7 ประการ

เพื่อตัด ความร้อนรน ทางกายทางใจทิ้ง หยุดฟังกาย หยุดฟังปฏิกริยาทางกาย ความหิว ความร้อนหนาว ความอึดอัด ความรำคาญกายใจ ต่างๆนานา กายดำรงให้ถูกที่ถูกทาง จิตดำรงให้ถูกที่ถูกทาง ถูกที่ถูกทางคือ อินทรียืสงบ จิตระงับ กายดำรงในความไม่กระตุ้นกระเทือนจากอวัยวะภายใน จิตไม่มีกระแสความคิด


ยามเกิด-ยามตาย: มุมสงบ มุมปลอดภัย มุมอบอุ่นเหมือนอยู่ในอ้อมกอดพ่อแม่

เพราะความเจิดจรัส แห่ง ศรัทธา นิวรณ์จึงเข้าแทรกไม่ได้ ในความละเอียดนั้น
เพราะความเจิดจรัส แห่ง วิริยะ จึงเห็นศรัทธา นิวรณ์จึงเข้าแทรกไม่ได้ ในความละเอียดนั้น
เพราะความเจิดจรัส แห่ง สติ จึงเห็นศรัทธา นิวรณ์จึงเข้าแทรกไม่ได้ ในความละเอียดนั้น
เพราะความเจิดจรัส แห่ง สมาธิ จึงเห็นศรัทธา นิวรณ์จึงเข้าแทรกไม่ได้ ในความละเอียดนั้น
เพราะความเจิดจรัส แห่ง ปัญญา จึงเห็นศรัทธา นิวรณ์จึงเข้าแทรกไม่ได้ ในความละเอียดนั้น


ณ จุดเริ่มต้นของคำสอนของพระพทุธเจ้า ... คือ เข้าสู่สภาวะนิพพาน กล่าวคือ

อาศัย วิเวก :
ใช้ความสงบสงัดรอบตัว หล่อหลอม กายใจให้สงบ ระงับ กลมกลืนกันไป
ให้เห็นประจัก ธรรมชาติอันสงบ ธรรมชาติอันปราณีต
ความนิ่งอันประเสริฐดุจดั่งภูผาหิน

อาศัย วิราคะ :
ปราศจาก โทสะ โมหะ โลภะ

อาศัย นิโรธ :
ปล่อยวาง การยึดติด ทั้งซ้ายและขวา มีก็มีไป ไม่มีก็ไม่มีไป
กำจัด วิปปฏิสาร และ กระแสความคิด

จึงผ่อนคลาย มาร คือ การล่อลวง
บาป คือ ความหมองเศร้า หม่นหมอง มลทิน สกปรก พรหมจรรย์ คือ กำหนดอารมภ์ในความจืด


ศีล 5
  • เอื้ออาทรต่อสรรพสัตว์
  • เพียงพอตามมีตามได้
  • อยู่อย่างพรหมจรรย์ สะอาดกาย สะอาดใจ
  • เปรยแต่คำที่ให้ปิติ
  • รักษาสติ

วิปปฏิสาร ทางกาย (เกิด ชรา อาพาธ มรณะ) ความเสื่อมทางกายนี้ รบกวน จิต
วิปปฏิสาร ทางจิต (ตัณหา สังขาร) รบกวน กาย

ธรรมชาตินั้นสงบ ธรรมนั้นปราณีต จึงไม่ควรรบกวนความสงบกันเอง ระหว่างธรรมชาติภายนอก และ ธรรมชาติภายใน

เสมือนว่า กายไม่รบกวนจิต จิตไม่รบกวนกาย สติจึงสมมาตร สมาธิจึงเกิด ปัญญาจึงเปิดออกให้เห็น

ดั่งหมุนลูกข่าง เพราะสมมาตร จึงเกิดทรงตัว มีอัตตา และเมื่อสูญเสียการทรงตัว จึงเกิดการไม่สมมาตร การทรงตัวจึงแปรปรวนสั่นใหว จึงเกิดสภาพสั่นคลอนเกิดดับ อัตตาแปรปรวนไป แต่สภาพอนัตตาของลูกข่างยังคงอยู่เป็นอนิจจัง จนกว่าสภาพลูกข่างหมดสิ้นไป จึงเป็นอนัตตา

ทำใจสบายๆ ทำใจให้ร่มเย็น

ไตรลักษณ์ แล้ว ปล่อยวาง เท่ากับ
เกิดดับ แล้ว ปล่อยวาง
จืดๆ ณ ขณะ ด้วยไม่ยึดถือ และ ด้วยปล่อยวาง
อาณาปานสติ สิ่งต่างๆ นานา ตามพุทธวจนะ เกิดขึ้นดับไปทุกขณะ อาการต่างๆภายนอกภายในมีอยู่ควบคู่กันปนเปกันตลอดเวลา ข้ามสิ่งเหล่านี้ไปด้วยการไม่ยึดถือ และ การปล่อยวาง


มันต้องมีอาการ นิพเพทญาน ก่อน คะ
ถาม: คือ เบื่อหน่าย เหนือยหน่ายวัฏสงสาร
ถาม: จิต มันถึง จะ ตัดการก่อเกิด ได้เลย
ถาม: แต่ ของ หนู วิปัสสนา ไป มันไม่เจอ นิพพิทายาน
ถาม: แต่ มัน เห้น สัจธรรม แทน
ถาม: สัจธรรม ของ ความไร้ประโยชน์ ของ วัฏฏสงสาร
ถาม: แต่ เหมือนกำลัง ไม่พอ ป่าว ไม่รู่นคะ
ถาม: ไม่ได้รู้สึก เบื่อหน่าย วัฏฏสงสาร เลย
ตอบ : ไม่น่าจะใช่มั้งคะ
ตอบ : น้องไอซ์บอกว่าไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า รู้สึกชอบใช่ไม๊คะ
ถาม: คะ แค่ ไม่ยินดี ยินร้าย
ตอบ : อันนี้มันเป็นกลางๆๆ
ตอบ : คือมันรู้เกิดและดับอัตโนมัติมั้งค่ะ ก็เลยกลายเป็นกลางๆๆๆ
ตอบ : ว่างๆๆๆ
ตอบ : ถือว่าใช่แล้วค่ะ
ถาม: อ๋อออ คะ
ถาม: พี่หน่อย บอกแล้ว เห็นภาพ เลย
ตอบ : ค่ะ
ตอบ : ก็มันอยู่ตรงกลางแล้วอะ
ตอบ : เหมือน กับศาลยุติธรรม
ตอบ : ตัดสินเรียบร้อยแล้ว เที่ยงตรง
ตอบ : พูดตามความรู้สึกค่ะ
ถาม: อ๋อ มันตัดสิน จบไปแล้ว นี่เอง นะคะ
ตอบ : ค่ะ
ตอบ : จบไปแล้ว
ถาม: เกิด ดับ จึงจบไป
ตอบ : มันจึงไม่รู้สึกยินดียินร้าย
ตอบ : ดีก็ไม่เอาร้ายก็ไม่เอา
ตอบ : แบบนี้อะ
ถาม: คะ เข้าใจ แจ่มแจ้งเลย คะ


เพราะยังไม่น้อม ไม่โน้ม ไม่โอน สู่พระธรรมคำสอน อย่างแท้จริง
เพราะยังยึดถือ ในขันธ์5
เพราะยังไม่วิเวก ไม่วิราคะ ไม่นิโรธ

เพราะยังไม่เข้าถึง "ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นเรา"
จึงยังไม่ปกติ
จึงยังจิตไม่ผ่องแผ้ว จึงยังศึลให้ไม่บริสุทธิ์ จึงยังทำบาปทั้งปวง จึงยังไม่ทำกุศลให้ถึงพร้อม
เพราะยังไม่หยุด อันด้วย อวิชชา (ขาดความรู้ + ขาดสภาวะ อันเป็นธรรม)

เสียสละ อดทน และรับวิบากผู้อื่น
เมื่อจบหรือสิ้นสุดลง มีทิฏฐิว่า เกิดขึ้น เหมือนไม่เกิดขึ้น โยนมันทิ้งไป ไม่ไปยึดติดเป็นสัญญาเป็นวิญญาน


พักผ่อนจิต ให้ร่มเย็น มองดูความเป็นจริง ตามสภาพจริงๆ ของมัน ดูกลกไก กระบวนการอุปาทาน ของ ขันธ์5 แค่สภาพ ผ่านมา และ ผ่านไป เหมือน ขบวนรถไฟ ไม่ต้องไปยึดติด กับปรากฏการณ์ผ่านมาและผ่านไป มาผูกไว้ มาดองไว้ เพื่อเชยชมชื่นชม ด้วยเพลิดเพลินกับการปรุงแต่ง ร่างกาย เสมือนเครื่องจักรกล ที่มีสภาพแปรเปลี่ยนไป อยู่ตลอดเวลา ไปตามสภาพแวดล้อม และสิ้นสุดในตัวของมันเอง การเหนี่ยวรั้ง สภาพหนึ่งๆ ให้คงอยู่เป็นอยู่ เป็นการฝืนธรรมชาติ ของการจบสิ้นของสภาพนั้นๆ กลไกการฝืนธรรมชาติ มีค่าใช้จ่ายไม่ใช่ได้มาฟรีๆ จะต้องแลกด้วยวิบากแห่งทุกข์ ถ้ามันเป็นเสมือนลมแค่ผ่านมาและผ่านไป เหตุใดจึงต้องไปจับลมผูกลม ให้มันเป็นในสิ่งที่มันไม่ได้เป็น เอาไว้เช่นนั้น


อทุกฺขมสุขํ
อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ
จตุตฺถํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหาสึ ฯ
สัจธรรมแห่งชีวิต

ทำนายชื่อสกุล



รายการน่าสนใจ
ค้นหาคำในพระไตรปิฏก
จิตบรรลุนิพพาน
(สมเด็จพระญาณสังวร)

wunjun - ood
ibuddha - wix
บาลีเทียบเคียง
จิตวิทยา
ญานสังวรธรรม
แปลบาลี
ญาน กถา

sitePage12 = พุทธศตวรรษ21


    •ข่มไว้ ด้วยฌาน4
    •ด้วยการชำแรก ซึ่งวัฏฏสงสาร
    •ด้วยการตัดขาดภายใน โดยโลกุตตะระมรรค
    •ด้วยสำราญความสงบ ปฏิปัดสัทธิ
    •ด้วยการสลัดออก ดับหัวใจลมหายใจ
    ไม่ประมาท กับปัจจุบัน
    ไม่ประมาท ซึ่งความตาย วินาทีนั้น
    ดำรงความจางคลาย กับปัจจุบัน

    มีแรงบันดาลใจแรงกล้า
    จึงเกิด มุมานะ--ตั้งใจมั่น --> รวมจิตได้

    หาลึกเข้าไปในจิต ซึ่งภาระที่ไม่ยอมวาง
    เมื่อวางลงเสียได้เมื่อไหร่ อิสระทันที

    การทำสมาธิแบ่งเป็น 2 ด้าน

  1. ทางกาย
    คือ กาย+เวทนา
    โดยทำให้ ลมหายใจแผ่วเบา และ หัวใจเต้นเรียบ เป็นการบำรุงร่างกาย และจิตใจไปในตัว และให้มีท้องพล่อง งดอาหารหลังเที่ยง นั่งนิ่งจนมีสภาพถูกล็อคแข็งแกร่งแต่ไม่เกร็ง มีความมั่นคง

  2. ทางใจ
    คือ จิตตา+ธรรมมา
    วิธีจะเข้าถึงโดยการ ตัดกายทิ้ง???
    คือการพยายามระลึกถึงปิติทั่วร่างกาย แล้วเข้าสู่อารมภ์ใดอารมภ์เดียวแห่งปฏิุภาคนิมิต

    การเข้าสู่นิพพาน
    ด้วยการตัดลูกโซ่แห่งการก่อเกิดที่ ตัณหา อุปาทาน ไม่ให้เชื่อมเกิด ภพ ได้ คือ หยุดคิด หลังจากค้นพบแล้วว่า การก่อเกิดทุกชนิดเป็นทุกข์เปล่าประโยชน์

สุขเพราะความสงัด,
สุขเพราะไม่เบียดเบียน,
สุขเพราะปราศจากราคะ ก้าวล่วงกามเสียได้,
สุดอย่างยอด คือการนำความถือตัวออกเสียได้.

พระไตรปิฏก4.ปฐมภาณวาร

อุปทานมีอยู่ แต่ไม่ถือตาม
ถือตามมีอยู่ แต่มีสติไม่ถือ

เพราะวิราคะ อวิชชาจึงดับ
--ปราศจาก โมหะ โทสะ โลภะ--
-คลายจาก ความอยากกระหายอันกดดัน-
เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
--จึงหยุดคิด ไม่คิด--
เพราะสังขารดับ วิญญานจึงดับ
--ไม่ก่อเกิด กายใจสงบ--
เพราะวิญญานดับ นามรูปจึงดับ
--หัวใจจึงราบเรียบเสมอดับ--
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
--หัวใจไม่กระเทือน--
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
--หยุดการกระตุ้นอวัยวะ--
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
--ไม่ถูกกระตุ้น ไม่รู้สึก--
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

เพราะเป็นปัจจัยจึงมี เพราะปัจจัยดับจึงดับ

๑. มีสิ่งหวงแหน (เช่น สตรี ) หรือไม่
๒. มีจิตผูกเวรหรือไม่
๓. มีจิตเบียดเบียนหรือไม่
๔. มีจิตเศร้าหมอง ( ด้วยกิเลส ) หรือไม่
๕. ทำจิตเป็นให้ไปในอำนาจได้หรือไม่

    เครื่องเกาะจิตอันเศร้าหมอง
  1. วิจิกิจฉา
  2. อะมะนะสิการ
  3. ถีนะมิทธะ
  4. ความหวาดเสียว
  5. ความตื่นเต้น
  6. ความชั่วหยาบ
  7. ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป
  8. ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
  9. ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้น
  10. ความสำคัญสภาวะต่างกัน
  11. ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป

     

    withhold
    ระงับ, ยั้ง, ดอง, ไม่ยอมให้, ยั้งมือ

    settle
    ชำระ, ระงับ, ตกลง, กำหนด, ยุบ, เข้าที่

    quell
    ระงับ, ปราบ, ทำให้สงบ, ดับไฟ, ระงับอารมณ์ stay
    คอย, พักอยู่, หยุดอยู่, อาศัยอยู่, ยืนหยัด, ระงับ

    deaden
    ระงับ, ทำให้ชา, ทำให้มึน, ทำให้ไม่รู้สึก, ทำให้หย่อนลง

    forbear
    อดทน, หักห้าม, อดกลั้น, ละเว้น, ระงับ, ข่มใจ refrain
    ละเว้น, งด, ระงับ, ว่างเว้น, กลั้น, ข่มจิต

    mortify
    ระงับ, ฉีกหน้า, ทรมานร่างกาย, ทำให้บัดสี, ทำให้เสียใจ

    propitiate
    เอาใจ, ระงับ, ประจบประแจง, ป้อยอ, ปลอบ, บรรเทา

    abate
    บรรเทา, รา, ระงับ, รำงับ, ค่อยยังชั่ว, เบาบาง

    allay
    บรรเทา, ระงับ, ทำให้สงบ, ทำให้น้อยลง, คลายกังวล

    alleviate
    บรรเทา, ระงับ, แบ่งเบา, ทำให้น้อยลง, คลายใจ, ค่อยยังชั่ว

    assuage
    ระงับ, ทำให้บรรเทา, ทำให้ผ่อนคลาย, ค่อยยังชั่ว, น่าพึงพอใจ

    calm
    ใจเย็น, ระงับ, เงียบสงบ, ไม่ตื่นเต้น, ไม่มีลม, หงิมๆ