พุทธศาสนาในความเข้าใจตามยุคสมัย ศตวรรษที่ 21 (จิตสอนสมอง)
ทุกข์ คือ การสืบต่อกระแสความคิด (รู้สึก อารมภ์ นึกคิด)
โดยรวม เพราะไม่หยุดนิ่ง จึงกระตุ้น กระแสความคิด จิต เป็นสมมุติ แทนกระแสความคิด แทนสิ่งที่กำลังสนใจ นั่นคือความคิดกำลังสนใจความคิด หรือ ใจกำลังสนใจใจ นี่เอง คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม กล่าวคือ ความคิดหนึ่ง(สนใจ)ให้ความสนใจกับความคิดอันหนึ่ง(ถูกสนใจ) หรือ ที่เรียกว่า ตัวรู้(คือ อาการให้ความสนใจ) ที่สุดของทุกข์ คือ การหยุดการสืบต่อกระแสความคิด(เหตุ - สังขาร) นำพาไปสู่การหยุดต่อสภาพปฏิกริยาร่างกาย (ปัจจัย - วิปปฏิสาร - ก่อให้เกิดตัณหา) วิธีการรวมจิตเบื้องต้น
อินทรีย์สงบคลายตัว สงบการเคลื่อนไหวอวัยวะภายใน เริ่มจากต้นตอ คือลมหายใจ และ หัวใจ ม่านตา จิตระงับกระแสนึกคิด โดยเฉพาะ สารเอนโดฟิน ที่คอยกระตุ้นความจำ ศีล ... ปฏิสสาร ... วิปะปฏิสสาร
การสืบต่อของ โมหะ โทสะ โลภะ ทำให้มีการกระตุ้นสสารภายในกาย หรือ ปฏิสสาร อย่างต่อเนื่อง อันเป็นการ ไม่หยุดอยู่ ยังไม่เป็นที่พอใจจึงยังไม่ยอมหยุดให้คลายใจออกจากตรงนั้น สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับตนเอง
การถึงที่สุดแห่งการปล่อยวาง .. การถึงที่สุด นี้ เป็นอาการภายในใจ สัมพันธ์ กับ ขั้วหัวใจ การคลายตัวที่สมอง จนสิ่งค้างคาต่างๆ หมดไป ซึ่งเป็นผลที่แสดงออกมาทางกายสังเกตุได้อย่างเด่นชัดในบั้นปลาย วางใจ เบาใจ อุ่นใจ คลายกังวล... ต่อ สิ่งพะวงต่างๆนานา มุ่งมั่น ... ที่จะปล่อยวาง เข้าใจ ... การปล่อยวาง วิธีการปล่อยวาง ปรัชญาการปล่อยวาง เต็มใจ ... ที่จะปล่อยวาง เห็นอกเห้นใจช่วยเหลือพึ่งพา ไม่เบียดเบียนกายใจตนเองและสรรพสิ่ง สิ่งเร้าก่อเกิดปฏิกริยา การตอบสนองต่อสิ่งเร้า สิ่งรบกวน ... คือ เหตุและปัจจัย นอกจาก อายตนะทั้ง6 ที่ใช้ในการรับรู้แล้ว ยังมี ลางสังหรณ์ และ นิมิต ที่ได้มาจากอายตนะพิเศษอีก ... ผู้ที่ปราถนาในอภิญญา จึงจะพัฒนาความสามารถนี้ ด้วยการดับอายตนะ6 เสียก่อน แล้วปล่อยให้ อายตนะพิเศษ ทำงานไปและมีโอกาสพัฒนาตัวเองให้คมชัดมากขึ้น นี่คือธรรมที่ทำให้เกิดปิติ (ปิติ นี่คือ หัวใจผ่อนคลาย คลายออก เบาแผ่ว) สำคัญที่ หัวใจคลายออก ผ่อนคลาย สะท้อนถึงการคลายออกที่สมอง นัยตา ม่านตา โดยการปลดปล่อยอารมภ์ ให้พ้นจากการพะวงอยู่กับกาย และกระแสความคิด โดยไม่มีกาย กายไม่มีอยู่จริง กายเป็นสภาพจากปฏิกริยาของสสาร ละทิ้งกายแบบว่ากายนี้กระเจิงออก กายนี้หมดความสำคัญไร้ความหมาย ด้วยการระลึกถึง สถานที่ที่เวิ้งว้าง อ้างว้าง ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆอยู่ หรือ เนินทะเลทราย นี้เป็นขั้นต้นเริ่มแรก ก่อนที่จะเข้าสู่การรวมจิตเป็นฌานใดๆ ทำไมคนจึงยังเดือดเนื้อร้อนใจกันอยู่ เพราะยังยึดถืออยู่ ยังไม่ยอมวาง ยังยึดถือภาระหน้าที่ ยังยึดถือความคิดความเชื่อความปักใจ ยังยึดถือความต้องการ ความอยาก ความเป็นเจ้าของในสิ่งที่เป็น สิ่งที่มีไม่ได้ ยังหาความเดือดร้อนใส่กายใส่ใจ ฌาน 1-8
สภาพก่อนฌาน
ฌาน 1
ฌาน 2
ฌาน 3
ฌาน 4
ฌาน 5
1. ทำลมหายใจ และ หัวใจ ให้แผ่วเบาเสียก่อน ด้วยก่อน ผ่อนคลาย กายและใจ 2. เมื่อทำได้แล้ว ก็ทำให้จิตมีอารมภ์เดียว อยู่กับภายในที่ มีอาการเบาจากการผ่อนคลาย จะเข้าถึงความว่างเปล่า 3. ในอรูปฌาน ขณะที่จิตมีอารมภ์เดียว สามารถ กำหนดอารมภ์ต่างๆ ได้แก่ อากาศ อารมภ์บรรยากาศต่างๆ อารมภ์สันโดษลำพัง อารมภ์ที่กึ่งมีกึ่งไม่มีเนื่องจากจิตจะทิ้งสัญญา เมื่อจิตสามารถรวมเป็นฌานได้ในเบื้องต้น จะมีลักษณะเหมือน การโดดลงไปในทะเลดำดิ่งลงไป โลกภายนอกจะหยุดเงียบลงใต้ทะเลนั้น หรือ การพุ่งเข้าไปในอวกาศ โลกภายนอกจะถูกตัดขาดเงียบสนิท เจโตวิมุตติ = การปล่อยวางทางใจ คือ ปล่อยวางจากตัณหา ไม่ยึดตัณหาเป็นสำคัญ ไม่สำคัญในตัณหา ปัญญาวิมุตติ = การปล่อยวางกระแสความคิด คือ การไม่ยึดติดไปตามกระแสความคิด ไม่สำคัญในกระแสความคิด เมื่อเทียบกับจักรวาลที่รวมแห่งสสารเปล่งแสงและสสารไม่เปล่งแสง วัฏฏสงสารเป็นเพียงภพเล็กๆ ที่ไร้ความสลักสำคัญ เมื่อเทียบกับความเป็นไปของขนาดของจักรวาลอันไพศาล จักรวาลส่วนที่เราอยู่นี้ เป็นเปลือก เป็นเศษกากขยะเปลือกนอกที่เย็นตัวของสสารอีกชนิดหนึ่งที่มีความร้อนสูงแต่ไม่มีแสง จึงเต็มไปด้วยความสกปรกโสมมของกากอนุภาค ที่เปลี่ยนมาจาก ความบริสุทธิ์
ลองฝึกหัด เปลี่ยนสิ่งที่เห็นเป็นขาวและดำ หรือ โปร่งมีแต่ลายเส้น ความสงบ สงัด ใน ซอกห้วย ท้องถ้ำ ใต้ทะเล ในอากาศ ในอวกาศ ทำให้อินทรีย์ปรับตัว แปรตาม เข้ากับความสงบนั้นด้วย การผ่อนคลายที่ม่านตา เป็นสิ่งจำเป็น ดั่งในการฝึกกสินต่างๆ ให้มองแสงลอดช่อง ในระยะไกลๆ หรือ มองสิ่งที่ไกลสุดโฟกัสไปที่จุดๆนั้น ที่ซ่อนอยู่ในภาพใหญ่ ก็เพื่อการนี้ ทุกข์ คือ ความไม่โล่งกาย ไม่โล่ง หรือ ความไม่สงบแห่งกาย ความไม่สงบแห่งใจ สมุทัย ต้นเหตุอันมีอยู่จาก กามตัณหา(โมหะ) ภวตัณหา(โลภะ) วิภาวะตัณหา(โทสะ) อันจบได้ หยุดได้ ทำให้หมดสิ้นไปได้ด้วย นิโรธ ปล่อยวางใจ นิโรธคามินี ปฏิปทา ด้วยต้นตอ แห่งสัมมาทิฏฐิ 7 ประการ เพื่อตัด ความร้อนรน ทางกายทางใจทิ้ง หยุดฟังกาย หยุดฟังปฏิกริยาทางกาย ความหิว ความร้อนหนาว ความอึดอัด ความรำคาญกายใจ ต่างๆนานา กายดำรงให้ถูกที่ถูกทาง จิตดำรงให้ถูกที่ถูกทาง ถูกที่ถูกทางคือ อินทรียืสงบ จิตระงับ กายดำรงในความไม่กระตุ้นกระเทือนจากอวัยวะภายใน จิตไม่มีกระแสความคิด ยามเกิด-ยามตาย: มุมสงบ มุมปลอดภัย มุมอบอุ่นเหมือนอยู่ในอ้อมกอดพ่อแม่
เพราะความเจิดจรัส แห่ง ศรัทธา นิวรณ์จึงเข้าแทรกไม่ได้ ในความละเอียดนั้น ณ จุดเริ่มต้นของคำสอนของพระพทุธเจ้า ... คือ เข้าสู่สภาวะนิพพาน กล่าวคือ
อาศัย วิเวก :
อาศัย วิราคะ :
อาศัย นิโรธ :
จึงผ่อนคลาย
ศีล 5
วิปปฏิสาร ทางกาย (เกิด ชรา อาพาธ มรณะ) ความเสื่อมทางกายนี้ รบกวน จิต วิปปฏิสาร ทางจิต (ตัณหา สังขาร) รบกวน กาย ธรรมชาตินั้นสงบ ธรรมนั้นปราณีต จึงไม่ควรรบกวนความสงบกันเอง ระหว่างธรรมชาติภายนอก และ ธรรมชาติภายใน เสมือนว่า กายไม่รบกวนจิต จิตไม่รบกวนกาย สติจึงสมมาตร สมาธิจึงเกิด ปัญญาจึงเปิดออกให้เห็น ดั่งหมุนลูกข่าง เพราะสมมาตร จึงเกิดทรงตัว มีอัตตา และเมื่อสูญเสียการทรงตัว จึงเกิดการไม่สมมาตร การทรงตัวจึงแปรปรวนสั่นใหว จึงเกิดสภาพสั่นคลอนเกิดดับ อัตตาแปรปรวนไป แต่สภาพอนัตตาของลูกข่างยังคงอยู่เป็นอนิจจัง จนกว่าสภาพลูกข่างหมดสิ้นไป จึงเป็นอนัตตา ทำใจสบายๆ ทำใจให้ร่มเย็น
ไตรลักษณ์ แล้ว ปล่อยวาง เท่ากับ มันต้องมีอาการ นิพเพทญาน ก่อน คะ ถาม: คือ เบื่อหน่าย เหนือยหน่ายวัฏสงสาร ถาม: จิต มันถึง จะ ตัดการก่อเกิด ได้เลย ถาม: แต่ ของ หนู วิปัสสนา ไป มันไม่เจอ นิพพิทายาน ถาม: แต่ มัน เห้น สัจธรรม แทน ถาม: สัจธรรม ของ ความไร้ประโยชน์ ของ วัฏฏสงสาร ถาม: แต่ เหมือนกำลัง ไม่พอ ป่าว ไม่รู่นคะ ถาม: ไม่ได้รู้สึก เบื่อหน่าย วัฏฏสงสาร เลย ตอบ : ไม่น่าจะใช่มั้งคะ ตอบ : น้องไอซ์บอกว่าไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า รู้สึกชอบใช่ไม๊คะ ถาม: คะ แค่ ไม่ยินดี ยินร้าย ตอบ : อันนี้มันเป็นกลางๆๆ ตอบ : คือมันรู้เกิดและดับอัตโนมัติมั้งค่ะ ก็เลยกลายเป็นกลางๆๆๆ ตอบ : ว่างๆๆๆ ตอบ : ถือว่าใช่แล้วค่ะ ถาม: อ๋อออ คะ ถาม: พี่หน่อย บอกแล้ว เห็นภาพ เลย ตอบ : ค่ะ ตอบ : ก็มันอยู่ตรงกลางแล้วอะ ตอบ : เหมือน กับศาลยุติธรรม ตอบ : ตัดสินเรียบร้อยแล้ว เที่ยงตรง ตอบ : พูดตามความรู้สึกค่ะ ถาม: อ๋อ มันตัดสิน จบไปแล้ว นี่เอง นะคะ ตอบ : ค่ะ ตอบ : จบไปแล้ว ถาม: เกิด ดับ จึงจบไป ตอบ : มันจึงไม่รู้สึกยินดียินร้าย ตอบ : ดีก็ไม่เอาร้ายก็ไม่เอา ตอบ : แบบนี้อะ ถาม: คะ เข้าใจ แจ่มแจ้งเลย คะ |
![]() ![]() |
เพราะยังไม่น้อม ไม่โน้ม ไม่โอน สู่พระธรรมคำสอน อย่างแท้จริง
เพราะยังยึดถือ ในขันธ์5
เพราะยังไม่วิเวก ไม่วิราคะ ไม่นิโรธ
เพราะยังไม่เข้าถึง "ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นเรา"
จึงยังไม่ปกติ
จึงยังจิตไม่ผ่องแผ้ว จึงยังศึลให้ไม่บริสุทธิ์ จึงยังทำบาปทั้งปวง จึงยังไม่ทำกุศลให้ถึงพร้อม
เพราะยังไม่หยุด อันด้วย อวิชชา (ขาดความรู้ + ขาดสภาวะ อันเป็นธรรม)
เสียสละ อดทน และรับวิบากผู้อื่น
เมื่อจบหรือสิ้นสุดลง มีทิฏฐิว่า เกิดขึ้น เหมือนไม่เกิดขึ้น โยนมันทิ้งไป ไม่ไปยึดติดเป็นสัญญาเป็นวิญญาน
พักผ่อนจิต ให้ร่มเย็น มองดูความเป็นจริง ตามสภาพจริงๆ ของมัน ดูกลกไก กระบวนการอุปาทาน ของ ขันธ์5 แค่สภาพ ผ่านมา และ ผ่านไป เหมือน ขบวนรถไฟ ไม่ต้องไปยึดติด กับปรากฏการณ์ผ่านมาและผ่านไป มาผูกไว้ มาดองไว้ เพื่อเชยชมชื่นชม ด้วยเพลิดเพลินกับการปรุงแต่ง ร่างกาย เสมือนเครื่องจักรกล ที่มีสภาพแปรเปลี่ยนไป อยู่ตลอดเวลา ไปตามสภาพแวดล้อม และสิ้นสุดในตัวของมันเอง การเหนี่ยวรั้ง สภาพหนึ่งๆ ให้คงอยู่เป็นอยู่ เป็นการฝืนธรรมชาติ ของการจบสิ้นของสภาพนั้นๆ กลไกการฝืนธรรมชาติ มีค่าใช้จ่ายไม่ใช่ได้มาฟรีๆ จะต้องแลกด้วยวิบากแห่งทุกข์ ถ้ามันเป็นเสมือนลมแค่ผ่านมาและผ่านไป เหตุใดจึงต้องไปจับลมผูกลม ให้มันเป็นในสิ่งที่มันไม่ได้เป็น เอาไว้เช่นนั้น