ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายย่อมยังธรรมทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อจากเตภูมิกวัฏอันมิใช่ฝั่งไปถึงฝั่ง คือ นิพพานด้วยประการดังนี้แล ฯ
เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติภายใต้ความแปรปรวนไปสู่การจบสิ้นสภาพ. - ขอจง มีลมหายใจแม้แผ่วเบา ได้สุดขั้ว กันเถิด.
ศึล - อินทรี - อาหาร - ชำระจิตให้ตื่นอยู่เสมอ
อำพล จงสิทธิผล
Ampol Chongsitthiphol
เสียสละ ... อดทน ... รับวิบากผู้อื่นไว้บ้าง ... ... แต่มันเหนื่อยนะ เหนื่อยสุดสุดเลยมึง
คำสั่งสอนจาก... พระอาจารย์ใหญ่
เมื่อเข้าสู่ ความนิ่งอันประเสริฐ แล้ว อินทรีย์สงบ จิตระงับ (การสลัดคืน จะเกิดตามมา) จะมีสภาพ ลำดับนี้
  • วิสุทธิ คือ สภาพใจสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ผุดผ่อง บรรเจิด ภายใน (และมีอนิสงค์ ต่อกายภายนอกในภายหลัง)
  • วิมุตติ คือ สภาพใจเป็นอิสระจาก สภาพแวดล้อมที่เจือด้วยภพ (ส่วนผสมโมหะ โทสะ โลภะ)

    มีนิพพาน เป็นที่สุด หรือ ปลายทางแห่งทุกข์ เส้นทางจิตจบลงแค่นี้ ด้วย ญานทัสสนะอันหมดจดเกลี้ยงเกลา

  • นิพพาน การอยู่ในสภาพไม่มีการก่อเกิด
    ( อันมาจาก ไม่คิดต่อ ปรุงแต่งต่อ เพราะตัวทำให้คิดต่อปรุงแต่งต่อคือ ตัวโมหะ โทสะ โลภะ)

กัลญานมิตรที่ดี ... ควรเป็นผู้มีวาจาไพเราะ เป็นที่ปรึกษาที่ดี และ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา๕ วิโมกข์๘ และ อภิญญา๖ พึงทำให้แจ้งชัด

คำว่าระบบน้ำเหลืองนั้นหมายรวมถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง นับเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด ชำระล้างของร่างกาย อันจำเป็นต่อ การรักษาสุขภาพให้เเข็งเเรง เยียวยาความเจ็บป่วย

เพราะระบบน้ำเหลืองมีหน้าที่ขนถ่ายของเสีย พิษที่สะสมในร่างกาย เศษของเซลล์ที่ตายเเล้ว ออกไปกำจัดยังอวัยวะที่รับผิดชอบเเละขับออกไปจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาว เเอนตี้บอดี้ ของระบบภูมคุ้มกัน ตลอดระยะทางของท่อน้ำเหลืองจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่เป็นระยะๆเพื่อช่วยกรองสารเเปลกปลอม เชื้อโรค ที่มีอันตราย

ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบน้ำเหลือง โดยตับมีหน้าที่สร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก เเละตับก็อาศัยน้ำเหลืองนี่เองขนส่งสารอาหารที่ย่อยเเล้วจากตับเเละลำไส้เล็กไปส่งต่อให้กับเซลล์เเละอวัยวะต่างๆ ม้ามเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ที่สุดของระบบน้ำเหลือง มีหน้าที่กรองเเละกำจัดเซลล์เม็ดเลือดเเดงที่หมดอายุ เเละเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย

ใครก็ตามที่ผ่าตัดเอาม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัสออกไป จะติดเชื้อได้ง่ายขาดภูมิต้านทาน

หากการไหลเวียนของน้ำเหลืองติดขัด จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม อักเสบ บริเวณที่น้ำเหลืองไหลเวียนเเละสังเกตุได้ชัดเจนได้เเก่ ลำคอ หลังใบหู ท้ายทอย หน้าอก รักเเร้ใต้หัวไหล่ ท้องเเขน หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ บริเวณขาหนีบ

เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั้มเหมือนระบบเลือดที่มีหัวใจเป็นปั้ม ดังนั้นการกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้นจึงต้องพึ่งพิงการออกกำลังกายเเละการหายใจให้ลึกๆเป็นหลัก เพื่อเขย่ากระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองด้วยการขยับกล้ามเนื้อ เเละกระบังลม

การเต้นกระโดดบน trampoline ดูจะเป็นวิธีการที่กระตุ้นน้ำเหลืองได้่ทั่วร่างกาย หากเต้นไม่ได้ก็อาจใช้วิธี กัวช่า (Gua Sha) การนวดด้วยน้ำมัน การนวดเเผนไทย

ใครก็ตามที่มักมีอาการ ผิวซีด ซูบซีด หลงๆลืมๆ ติดเชื้อบ่อยๆ เป็นหวัดเจ็บคอเสมอๆ เริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่มมากขึ้น ให้สงสัยระบบน้ำเหลืองติดขัด ไหลเวียนไม่ดี ทั้งนี้็็ก็เข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะของเสีย ขยะมีพิษ ตกค้างสะสมนั่นเอง


การจับชีพจรเพื่อวินิจฉัยโรคต่าง ๆ ซึ่งชาวจีนเรียกว่า แมะ นั้นเป็นการค้นพบที่สำคัญอย่างยิ่ง ของแพทย์จีนแผนโบราณ แพทย์จีน ในสมัยโบราณ ได้ศึกษาเกี่ยวกับหลักการเต้นของชีพจร ไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และมีผลงาน เป็นเกียรติประวัติเป็นที่แพร่หลายกว้างขวาง จากการเฝ้าสังเกต การเปลี่ยนแปลง ของชีพจร ทำให้สามารถรู้ถึงสภาพของร่างกาย ว่าแข็งแรง หรืออ่อนแอประการใด

เหตุที่การแกว่งแขนสามารถรักษาโรคได้ก็เพราะการแกว่งแขน สามารถเปลี่ยนแปลง แก้ไข สภาพของร่างกายเมื่อแก้ไขสภาพของร่างกายได้ ผลสะท้อน ก็จะแสดงออกไปยังชีพจรด้วย

ตัวอย่างเกี่ยวกับการจับชีพจรเพื่อวินิจฉัยโรค
1. โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โดยทั่วไปชีพจรจะลอยสูงเน้นเร็วเกินไป ความดันโลหิตยิ่งสูง ชีพจรก็จะยิ่งเต้นเร็วเป็นเงาตามตัว ดังนั้นโรคหัวใจกับความดันโลหิตสูง จึงเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด ชีพจรของคนปกติจะเต้นอยู่ระหว่าง 60 – 80 ครั้งต่อนาที มีการเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอเต้นอย่างลึก ๆ และอย่างมีแรง ส่วนผู้ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจผู้สูงอายุ และผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ การเต้นของชีพจรจะอยู่ในระหว่าง 60 ครั้งต่อนาที แต่เต้นอ่อน และผู้ป่วยที่เป็นโรความดันโลหิตต่ำการเต้นของชีพจรก็จะมีกำลังอ่อนเช่นกัน
2. โรคประสาท โรคจิต โรคไต ชีพจรจะเต้นเร็วบ้างช้าบ้างไม่สม่ำเสมอ
3. โรคเกี่ยวกับโลหิต เกี่ยวกับน้ำเหลือง ชีพจรเต้นช้ามีแรงอ่อนมาก จนกระทั่งบางรายคลำดูไม่รู้สึกว่าเต้น บางราย ชีพจรทางซ้ายกับขวาเต้นไม่เหมือนกัน เมื่อชีพจรทางซ้ายและขวาขัดกันเช่นนี้ การหมุนเวียนของโลหิตก็จึงติดขัด
4. โรคอัมพาต คนที่เป็นลม มักมีชีพจรทั้ง 2 ข้างต่างกัน บางรายการเต้นของชีพจรแต่ละข้างต่างกันถึง 20 ครั้งต่อนาที ซึ่งเกี่ยวโยง กับโรคไขข้ออักเสบเหมือนกัน เมื่อข้างหนึ่งทางเดินของเลือดติดขัดไม่สะดวก อีกข้างหนึ่งก็จะมีกำลังกดดันมากขึ้น โรคดังกล่าว เหล่านี้ล้วนสามารถรักษาให้หายได้โดยกายบริหารแกว่งแขนทั้งสิ้น

กายบริหารแกว่งแขนสามารถควบคุมการเต้นของชีพจรให้เป็นปกติได้อย่างไร
โรคชีพจรเต้นเร็ว การที่ชีพจรเต้นเร็วก็เพราะ โลหิตในร่างกายของเรา ไม่สามารถบังคับการไหลของโลหิตให้เป็นปกติ เมื่อบังคับและควบคุมไม่ได้ ลมก็เสีย สาเหตุเนื่องจากปริมาณโลหิตไม่เพียงพอ เมื่อทำกายบริหารแกว่งแขน จะทำให้ สามารถเสริมสร้างบำรุงโลหิต และยังบังเกิดผลในการบังคับควบคุมได้ด้วย
การออกำลังด้วยการบริหารแบบนี้ สามารถบำรุงและเสริมสร้างโลหิตได้ก็เพราะ เมื่อกระเพาะและลำไส้ ได้รับการออกกำลัง จึงเสมือนกับได้รับการนวดเฟ้น ก็จะเริ่มเคลื่อนไหวได้มากขึ้น ทำให้กระเพราะอาหาร และลำไส้ สามารถรับเอาอาหารไปบำรุงร่างกาย ได้อย่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่มีชีพจรเต้นช้ากว่าปกติ ก็เพราะการหมุนเวียน ของโลหิตติดขัด และปริมาณของโลหิตไม่เพียงพอ การบริหารแกว่งแขนจะทำให้มือและเท้าได้รับการบริหาร และหลังของเรา จะพลอยได้รับการเคลื่อนไหวด้วย สิ่งกีดขวางทางเดิน ของเลือดลมในทรวงอก และช่องท้องจะถูกขจัดไป โลหิตที่คั่งก็จะกระจายหายคั่ง เมื่อนั้นชีพจรจึงจะเต้นเป็นปกติ
การแก้ไขชีพจรให้ดีได้ ก็โดยถือหลักของแพทย์จีนแผนโบราณที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่า “ชีพจรขึ้นมาจากส้นเท้า” เวลาทำกายบริหารแกว่งแขน น้ำหนักการทรงตัวทั้งหมดอยู่ที่เท้า เมื่อเท้าได้รับการออกแรงก็เปรียบเหมือนต้นไม่ที่ใช้รากยึดเกาะถึงพื้นดิน และคล้ายกับการตอกเสาเข็มซึ่งตอกลึกลงไป ๆ ทำให้เกิดมีอาการบีบนวดเลือดลมที่บริเวณเท้า แล้วส่งกระจายออกไปทั่วร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้ กล้ามเนื้อ ผิวหนัง กระดูก ไขข้อ ก็จึงไม่ยากที่จะแก้ไขได้
ดังนั้นกายบริหารแกว่งแขน จึงมีประสิทธิภาพในการบำบัดโรคภัยเรื้อรังและร้ายแรงต่าง ๆได้อย่างเกินความคาดฝันทีเดียว

กายบริหารแกว่งแขน เพื่อรักษาโรคอัมพาต
โรคอัมพาตหรืออาการที่ตายไปครึ่งตัว เป็นลม ความดันโลหิตสูง ไขข้ออักเสบ ส่วนมากโรคเหล่านี้ มักจะเกี่ยวเนื่องกัน เกิดขึ้นเพราะ เลือดลมภายในร่างกาย ขาดความสมดุลยซึ่งกระทบกระเทือนการไหลเวียนแจกจ่ายของเลือดลม และทำให้ชีพจร กล้ามเนื้อ และกระดูกไขข้อ เกิดการแปรปรวนขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏว่าชีพจรทั้งสองข้างเต้นไม่เท่ากัน คือข้างหนึ่งเต้นเร็วอีกข้างหนึ่งเต้นช้า การเต้นของชีพจรบางครั้งต่างกัน 10 – 20 ครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็จะเกิดปฏิกิริยาโดยมือเท้าข้างใดข้างหนึ่ง มีอาการรู้สึกปวดเมื่อย หรือชา ขาดความรู้สึก ที่จริงส่วนบนกับส่วนล่างก็มักมีปัญหาเช่นกัน ได้แก่ ส่วนบนเลือดคั่ง แต่ส่วนล่างเลือดกลับเดินไม่ถึงเช่นนี้
เหตุใดการออกกำลังโดยการแกว่งแขนจึงสามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้อย่างชะงัด
การออกกำลังแบบนี้ มิเพียงสามารถรักษาโรคเหล่านี้ได้ แต่ยังสามารถป้องกันการเป็นลมอีกด้วย การที่คนเราเกิดเป็นลมขึ้นมา ก็เพราะการไหลเวียนของโลหิต ทั้งสองด้านของร่างกายขัดแย้งกัน ดังนั้นชีพจรจึงแสดงการไม่สมดุลกันออกมาให้ปรากฏ
แพทย์จีนแผนโบราณให้คำอธิบายไว้ว่า “ชีพจรนั้นได้เริ่มจากส้นเท้า” การทำกายบริหารแกว่งแขนมีประโยชน์ก็เพราะหลังจากแกว่งแขนแล้ว ชีพจรจะเกิดการเปลี่ยนแปลงกลับคืนสู่สภาพปกติ ชีพจรเป็นเสมือนตัวแทนของอวัยวะภายในร่างกายของคนเรา สาเหตุของโรคอัมพาตก็คือ ศีรษะหนักเท้าเบา ซึ่งเท่ากับส่วนบนหนัก ส่วนล่างว่าง กรณีเช่นนี้จึงเป็นความผิดปกติอย่างยิ่งเพราะที่ถูกต้องร่างกายของคนเราส่วนบนต้องเบา และส่วนล่างต้องหนัก

กายบริหารแกว่งแขนเพื่อพิชิตโรคมะเร็ง
สมุฏฐานของโรคมะเร็งคืออะไร
ตามหลักการแพทย์จีนโบราณ มะเร็งและเนื้องอกเป็นผลจากการรวมตัวเกาะกันเป็นก้อนของเลือดลม และเส้นชีพจรติดขัด ระบบ การขับถ่ายของเสีย ไม่ทำงาน การหมุนเวียนของโลหิตไม่สะดวก และโลหิตไหลช้าลง นำเหลือง น้ำดี น้ำเมือก เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติ เมื่อการหมุนเวียนของโลหิตขาดประสิทธิภาพ และทำงานไม่เต็มที่ พลังงานหรือความร้อนก็ไม่เพียงพอ จึงทำให้ระบบขับถ่าย และระบบ ย่อยอาหารไม่ทำงาน แต่เมื่อทำกายบริหารแกว่งแขนแล้วจะช่วยให้เจริญอาหาร เม็ดเลือดจะเพิ่มมากขึ้น กล้ามเนื้อที่ไหล่ทั้ง 2 ข้างได้รับการออกกำลัง อาการเกร็งซึ่งแบกรับน้ำหนักอยู่ตลอดเวลาก็จะหายไป เยื่อบุช่องท้องจะได้รับการบริหารขึ้น ๆ ลง ๆ ตื่นตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะทำปฏิกิริยากระตุ้นและบีบบังคับลม เคลื่อนไหวระหว่างไต เมื่อโลหิตสามารถผลิตความร้อน ก็จะเกิดพลังในการรับของใหม่ แล้วถ่าย ของเก่าออก เช่นนี้แล้ว จึงมีประโยชน์ทางบำรุงเลือดลมด้วย
อนึ่งจากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยที่งดบริโภคเนื้อสัตว์ หันมารับประทานอาหารพืชผัก อาหารมังสวิรัต อาหารเจ ซึ่งมีปริมาณใยมาก จะช่วยให้เลือดในกายสะอาด สามารถขับพิษออกจากร่างกายได้เร็ว และส่งผลให้การแกว่งแขนบำบัดโรคประสบผลเร็วยิ่งขึ้น

กายบริหารแกว่งแขนกับการรักษาโรคตา
การทำกายบริหารแกว่งแขน มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคตา มีบางท่านใช้แว่นสายตาหนามาก แต่เมื่อได้ทำกายบริหารแกว่งแขน ระยะหนึ่ง กลับไม่ต้องใช้แว่นอีกเลย มีบางคนอ่านหนังสือพิมพ์รู้สึกลำบาก มองไม่ค่อยจะเห็น อ่านแต่ละตัวต้องเพ่งแล้วเพ่งอีก หนังสือ (เน่ยจัง) คัมภีร์แพทย์เล่มแรกของจีนกล่าวไว้ว่า “ตาเมื่อได้รับเลือดหล่อเลี้ยงจึงสามารถมองเห็น” แสดงว่าปัจจัยสำคัญอยู่ที่เลือด เมื่อเลือด เดินไปไม่ทั่วถึง ทุกส่วนของร่ายกายก็จะเกิดโรคต่าง ๆ อย่างแน่นอน ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทั่วร่างกายมีส่วนสัมพันธ์กันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ชีพจร เส้นเลือด ทางลม หากเลือดหมุนเวียนทั่วทุกส่วน เราก็จะรู้สึกสบาย ไม่เจ็บป่วย ถ้าใครคิดว่า ดวงตานั้นมีระบบอยู่อย่างเอกเทศ ตัดขาด จากกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายนั้น จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้เมื่อเราได้ทำกายบริหารแกว่งแขนทั่ว ๆ ไป จะรู้สึกเจริญอาหาร เดินกระฉบับกระเฉง นอนหลับสบาย ท้องก็ไม่ผูก ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่า ระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกาย (METABLISM) นั้นทำงานดี

กายบริหารแกว่งแขนรักษาโรคตับ
กายบริหารแกว่งแขน สามารถรักษาโรคตับแข็ง และโรคท้องมานให้หายขาดได้ ถ้าเป็นตัวบวมหรือตับอักเสบ การแกว่งแขน ก็จะยิ่งรักษา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะว่าตัวการที่ทำให้เกิดโรคประเภทนี้ก็คือ เลือดลมเช่นกัน การที่เลือดลมผิดปกติ จะทำให้ตับเกิดปฏิกริยา เกิดมีน้ำขังและไม่สามารถขับถ่ายออกได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะรู้สึกจุกแน่น อึดอัดจนกระทบกระเทือนไปถึงกระเพาะ ม้าม และถุงน้ำดีด้วย เมื่อเราทำกายบริหารแกว่งแขน ก็จะขจัดปัญหาเหล่านี้ไปได้ เป็นต้นว่า เมื่อลงมือทำการแกว่งแขนจะมีอาการเรอ สะอึด ผายลม อาการเหล่านี้เป็นสิ่งดีอันเนื่องจากผลทางการรักษาโรค ทั้งนี้ก็เพราะเข้ากฎเกณฑ์ตามตำราจีนแผนโบราณที่ว่า “เลือดลมผ่านตลอดทั้งสามจุด”
“จุดสามจุด” ตามตำราแพทย์จีนโบราณหมายถึง 1 ทางข้าว 2. ทางน้ำ 3. เนินที่เริ่มต้น และจุดที่สิ้นสุดของลม ได้แก่ จุดบน อยู่ที่ปากกระเพาะด้านบน มีหน้าที่รับเข้าไม่รับออก จุดล่าง คือ ภายในส่วนกลางของกระเพาะ มีระดับไม่สูงไม่ต่ำ มีหน้าที่ย่อยข้าวน้ำ จุดต่ำ อยู่เหนือกระเพาะปัสสาวะ มีหน้าที่แบ่งแยกสิ่งสะอาดและสิ่งสกปรกออกจากัน และมีหน้าที่ขับถ่าย
เมื่อตับเกิดอาการแข็ง ส่วนที่แข็งคือส่วนที่ต้องตายไป อาการแข็งเป็นเรื่องของวัตถุธาตุซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกถึงสมรรถภาพที่เสื่อมถอย ไม่มีชีวิตชีวา นอกจากนี้ยังมีสิ่งขัดแย้งเป็นปัญหาอีกก็คือ เลือดที่เสียคั่งค้างไม่เดิน เพราะแรงขับดันเคลื่อนไหวไม่พอ เมื่อทำกายบริหารแกว่งแขน ก็จะกระตุ้นให้เลือดลมตื่นตัวหมุนเวียนเร็วขึ้น และจะทำให้เจริญอาหาร ช่วยเพิ่มเม็ดเลือด เปิดทวารทั้งเก้าและรูขน ตับที่อยู่ในสภาพเกาะติด จนแข็ง ก็จะเริ่มฟื้นตัวมีชีวิตใหม่เพิ่มขึ้นตามลำดับ ตับที่แข็งก็จะกลายเป็นอ่อน นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพอย่างหนึ่ง
เมื่อเรากล่าวถึง สภาพการแข็งตัวก็คือการต่อสู้ระหว่างพลังใหม่กับพลังเก่า จากผลของการต่อสู้ หากพลังเก่าได้ชัยชนะ โรคก็จะกำเริบ หนักขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากพลังใหม่มีอำนาจเหนือพลังเก่า สิ่งที่อยู่ในสภาพแข็งตัวก็จะค่อย ๆ อ่อนลง การแกว่งแขนนั้น ให้คุณประโยชน์ ทางเสริมสร้างพลังใหม่ ให้สามารถต่อสู้กับสภาพแข็งตัวของตับได้ ความรู้ที่ค้นพบนี้นับว่า เป็นอัจฉริยะ ชิ้นโบว์แดง ในวงการแพทย์จีนโบราณทีเดียว


อทุกฺขมสุขํ
อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ
จตุตฺถํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหาสึ ฯ
สัจธรรมแห่งชีวิต

ทำนายชื่อสกุล



รายการน่าสนใจ
ค้นหาคำในพระไตรปิฏก
จิตบรรลุนิพพาน
(สมเด็จพระญาณสังวร)

wunjun - ood
ibuddha - wix
บาลีเทียบเคียง
จิตวิทยา
ญานสังวรธรรม
แปลบาลี
ญาน กถา

sitePage7 = คัมภีร์บริหารเส้นเอ็น2


    •ข่มไว้ ด้วยฌาน4
    •ด้วยการชำแรก ซึ่งวัฏฏสงสาร
    •ด้วยการตัดขาดภายใน โดยโลกุตตะระมรรค
    •ด้วยสำราญความสงบ ปฏิปัดสัทธิ
    •ด้วยการสลัดออก ดับหัวใจลมหายใจ
    ไม่ประมาท กับปัจจุบัน
    ไม่ประมาท ซึ่งความตาย วินาทีนั้น
    ดำรงความจางคลาย กับปัจจุบัน

    มีแรงบันดาลใจแรงกล้า
    จึงเกิด มุมานะ--ตั้งใจมั่น --> รวมจิตได้

    หาลึกเข้าไปในจิต ซึ่งภาระที่ไม่ยอมวาง
    เมื่อวางลงเสียได้เมื่อไหร่ อิสระทันที

    การทำสมาธิแบ่งเป็น 2 ด้าน

  1. ทางกาย
    คือ กาย+เวทนา
    โดยทำให้ ลมหายใจแผ่วเบา และ หัวใจเต้นเรียบ เป็นการบำรุงร่างกาย และจิตใจไปในตัว และให้มีท้องพล่อง งดอาหารหลังเที่ยง นั่งนิ่งจนมีสภาพถูกล็อคแข็งแกร่งแต่ไม่เกร็ง มีความมั่นคง

  2. ทางใจ
    คือ จิตตา+ธรรมมา
    วิธีจะเข้าถึงโดยการ ตัดกายทิ้ง???
    คือการพยายามระลึกถึงปิติทั่วร่างกาย แล้วเข้าสู่อารมภ์ใดอารมภ์เดียวแห่งปฏิุภาคนิมิต

    การเข้าสู่นิพพาน
    ด้วยการตัดลูกโซ่แห่งการก่อเกิดที่ ตัณหา อุปาทาน ไม่ให้เชื่อมเกิด ภพ ได้ คือ หยุดคิด หลังจากค้นพบแล้วว่า การก่อเกิดทุกชนิดเป็นทุกข์เปล่าประโยชน์

สุขเพราะความสงัด,
สุขเพราะไม่เบียดเบียน,
สุขเพราะปราศจากราคะ ก้าวล่วงกามเสียได้,
สุดอย่างยอด คือการนำความถือตัวออกเสียได้.

พระไตรปิฏก4.ปฐมภาณวาร

อุปทานมีอยู่ แต่ไม่ถือตาม
ถือตามมีอยู่ แต่มีสติไม่ถือ

เพราะวิราคะ อวิชชาจึงดับ
--ปราศจาก โมหะ โทสะ โลภะ--
-คลายจาก ความอยากกระหายอันกดดัน-
เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
--จึงหยุดคิด ไม่คิด--
เพราะสังขารดับ วิญญานจึงดับ
--ไม่ก่อเกิด กายใจสงบ--
เพราะวิญญานดับ นามรูปจึงดับ
--หัวใจจึงราบเรียบเสมอดับ--
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
--หัวใจไม่กระเทือน--
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
--หยุดการกระตุ้นอวัยวะ--
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
--ไม่ถูกกระตุ้น ไม่รู้สึก--
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

เพราะเป็นปัจจัยจึงมี เพราะปัจจัยดับจึงดับ

๑. มีสิ่งหวงแหน (เช่น สตรี ) หรือไม่
๒. มีจิตผูกเวรหรือไม่
๓. มีจิตเบียดเบียนหรือไม่
๔. มีจิตเศร้าหมอง ( ด้วยกิเลส ) หรือไม่
๕. ทำจิตเป็นให้ไปในอำนาจได้หรือไม่

    เครื่องเกาะจิตอันเศร้าหมอง
  1. วิจิกิจฉา
  2. อะมะนะสิการ
  3. ถีนะมิทธะ
  4. ความหวาดเสียว
  5. ความตื่นเต้น
  6. ความชั่วหยาบ
  7. ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป
  8. ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
  9. ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้น
  10. ความสำคัญสภาวะต่างกัน
  11. ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป

     

    withhold
    ระงับ, ยั้ง, ดอง, ไม่ยอมให้, ยั้งมือ

    settle
    ชำระ, ระงับ, ตกลง, กำหนด, ยุบ, เข้าที่

    quell
    ระงับ, ปราบ, ทำให้สงบ, ดับไฟ, ระงับอารมณ์ stay
    คอย, พักอยู่, หยุดอยู่, อาศัยอยู่, ยืนหยัด, ระงับ

    deaden
    ระงับ, ทำให้ชา, ทำให้มึน, ทำให้ไม่รู้สึก, ทำให้หย่อนลง

    forbear
    อดทน, หักห้าม, อดกลั้น, ละเว้น, ระงับ, ข่มใจ refrain
    ละเว้น, งด, ระงับ, ว่างเว้น, กลั้น, ข่มจิต

    mortify
    ระงับ, ฉีกหน้า, ทรมานร่างกาย, ทำให้บัดสี, ทำให้เสียใจ

    propitiate
    เอาใจ, ระงับ, ประจบประแจง, ป้อยอ, ปลอบ, บรรเทา

    abate
    บรรเทา, รา, ระงับ, รำงับ, ค่อยยังชั่ว, เบาบาง

    allay
    บรรเทา, ระงับ, ทำให้สงบ, ทำให้น้อยลง, คลายกังวล

    alleviate
    บรรเทา, ระงับ, แบ่งเบา, ทำให้น้อยลง, คลายใจ, ค่อยยังชั่ว

    assuage
    ระงับ, ทำให้บรรเทา, ทำให้ผ่อนคลาย, ค่อยยังชั่ว, น่าพึงพอใจ

    calm
    ใจเย็น, ระงับ, เงียบสงบ, ไม่ตื่นเต้น, ไม่มีลม, หงิมๆ