ปฏิจสมุปบาท (สายโซ่แห่งการสืบต่อ และ การก่อเกิด) พระผู้มีพระภาคตรัสว่า วิญญาณๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงตรัสว่า วิญญาณ?
พระสารีบุตร: ธรรมชาติที่รู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่าวิญญาณ รู้แจ้งอะไร รู้แจ้งว่า นี้สุข นี้ทุกข์ นี้มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ธรรมชาติย่อมรู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า วิญญาณ.
หมายเหตุ:เช่น วิญญานศิลปิน วิญญานนักดนตรี หรือ อีกนัยนึง ความรู้สึก นึกคิด อารมภ์ ของสิ่งๆนั้น ได้หลอมรวมกันแล้วโดยธรรมชาติ)
ปัจจัยแห่งความดับเพราะอวิชชาดับหมดมิได้เหลือ สังขารก็ดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะ วิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสก็ดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนั้น ย่อมมีได้ อย่างนี้.
เมื่อได้ศรัทธานั้นแล้ว ย่อมตระหนักว่า ฆราวาส คับแคบอึดอัด เป็นทางนำพาแต่ธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติ พรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์ ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่เขาขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย
(ข้อสังเกตุ: ด้วยในสมัยพุทธกาล ผู้มุ่งบำเพ็ญ เอาจริงเอาจัง เพื่อหาหนทางหลุดพ้น)ชำระจิต จาก นิวรณ์5
วิเวก วิราคะ นิโรธ วิมุตติภิกษุนั้น ประกอบด้วยศีลขันธ์อินทรีย์สังวร และสติสัมปชัญญะ อันเป็น อริยะเช่นนี้แล้ว ย่อมเสพเสนาสะนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช๊า ป่าชัฏ ที่แจ้ง ลอมฟาง เธอกลับจากบิณฑบาต ในกาลภายหลังภัตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอละความเรื่องคิดในโลกแล้ว มีใจปราศจากเรื่องคิดอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากเรื่องคิดได้ ละความประทุษร้ายคือพยาบาทแล้ว ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือ พยาบาทได้ ละถีนะมิทธะได้แล้ว เป็นผู้ปราศจากถีนะมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่างอันมีกำลังให้สติตื่น มีสติสัมปชัญญะอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนะมิทธะได้ ละอุทธัจจกุกกุจจะได้แล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบ นะภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉาได้แล้ว เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความคลางแคลงในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากวิจิกิจฉาได้
ภิกษุนั้นละนิวรณ์ ๕ ประการนี้ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต อันเป็นเครื่องทำปัญญาให้ถอยได้แล้ว สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มี ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องไสแห่งจิต นะภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกและวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ บรรลุตติยฌาน บรรลุจตุตถฌาน เป็นลำดับ
ดับอกุศลธรรมเมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจ (สืบต่อ) เวทนานั้นอยู่ ความเพลิดเพลินในเวทนาทั้งหลายก็ดับไป เพราะความเพลิดเพลินดับ (สิ้นการสืบต่อ) อุปาทาน ก็ดับ เพราะอุปาทานดับ
รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ย่อมไม่กำหนัดในธรรมารมณ์ที่น่ารัก ย่อมไม่ ขัดเคืองในธรรมารมณ์ที่น่าชัง เป็นผู้มีสติในกายตั้งมั่น และมีจิตหาประมาณมิได้อยู่ ย่อมทราบ ชัดเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุติ อันเป็นที่ดับหมดแห่งอกุศลธรรมอันลามกตามความเป็นจริง... ... ... ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย พวกเธอจงจำ ตัณหาสังขยวิมุตติ โดยย่อของเรานี้
อินทรีย์สงบ จิตระงับ
ลมหายใจ แม้เพียงน้อยนิด ก็สุดขัั้วเอาลมส่วนเกิน ออกจาก อวัยวะต่างๆ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ลิ้นปี่ คอหอย คอ บ่า ตันเถียน ด้วยการ ทำให้ม่านตาคลาย ผ่อนคลาย จากการรวมจิตเป็นอารมภ์เดียว หรือ สร้างปฏิภาคนิมิต
สังเวช ใน เกิด แก่ เจ็บ ตาย --> จักษุ ญาน ปัญญา วิชชา แสงสว่าง (ตาในเบิกโพลง)
ในการเข้า โลกุตตระ ต้อง อยู่ในสภาพผ่อนคลาย เสียก่อน
จะต้องดับ การแปรปรวน ของ การเต้น การกระตุก อันเกิดกับเส้นเลือดและเส้นประสาท
การเค้นเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ รวมถึง อาการปิติ ของร่างกายส่วนต่างๆ ทั้งหมด
จากนั้นจึงพิจารณาภายใน(กาย เวทนา จิตตา ธรรมารมภ์)เนื่องด้วยสายใยยึดติด(อุปาทาน) จนเกิดญาน (การสลด สังเวช นำไปสู่ความแจ่มแจ้งในความจริง)
ญานนั้นเกิดเมื่อใด สติจะมั่นคงเป็นหนึ่งเดียว
(ต่างจาก โลกียะฌาน ที่จิตรวมเป็นอารมภ์เดียว แต่ในโลกุตตระญาน นั้นไม่มีจิต มีแต่มหาสติ (สติ+ฌาน+ญาน) คงไว้ซึ่งสภาพการแยกออกเหนือวงจรสัตว์ หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วิมุตติญานทัสสนะ)
รวมจิตเป็นอารมภ์เดียว
เข้าสู่ วิโมกข์8ธรรมบริบูรณ์แล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้รู้เห็นตามความเป็นจริง ไม่ต้องทำเจตนาว่า ขอเราจงเบื่อหน่าย จงคลายกำหนัด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อ ที่บุคคลผู้รู้ผู้เห็นตามความเป็นจริงเบื่อหน่ายคลายกำหนัดนี้ เป็นธรรมดา ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย บุคคลผู้เบื่อหน่ายคลายกำหนัดไม่ต้องทำเจตนาว่า ขอเราจงทำให้แจ้ง ซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลผู้เบื่อหน่ายคลายกำหนัด ทำให้แจ้งซึ่งวิมุตติญาณทัสสนะ นี้เป็นธรรมดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิพพิทาวิราคะมี วิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ สมาธิมียถาภูตญาณ ทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิ เป็นอานิสงส์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ อวิปปฏิสาร มีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ ด้วยประการดังนี้http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=24&A=46&Z=76
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน ความทุกข์ที่หมดไป สิ้น ไปนี้แหละ ของบุคคลผู้เป็นพระอริยสาวก สมบูรณ์ด้วยทิฐิ ตรัสรู้แล้ว มีมาก กว่า ส่วนที่เหลือมีประมาณน้อย ความที่ทุกข์เป็นสภาพยิ่งใน ๗ อัตภาพ เมื่อ เทียบเข้ากับกองทุกข์ที่หมดสิ้นไปอันมีในก่อน ไม่เข้าถึงเสี้ยวที่ ๑๐๐ เสี้ยว ที่ ๑๐๐๐ เสี้ยวที่ ๑๐๐,๐๐๐ ดูกรภิกษุทั้งหลาย การตรัสรู้ธรรมให้สำเร็จประโยชน์ ใหญ่อย่างนี้แล การได้ธรรมจักษุให้สำเร็จประโยชน์ใหญ่อย่างนี้ ฯ
http://www.polyboon.com/dhumma/16_010.phpการตั้งอยู่ในอรหัตตผล
กีฏาคิริสูตรดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ในอรหัตตผล ด้วยการไปครั้งแรก เท่านั้นหามิได้ แต่การตั้งอยู่ในอรหัตตผลนั้น ย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำ โดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็การตั้งอยู่ ในอรหัตตผล ย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยความปฏิบัติโดยลำดับอย่างไร?
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรในธรรมวินัยนี้ เกิดศรัทธาแล้วย่อมเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลง เมื่อเงี่ยโสตลงแล้วย่อมฟังธรรม ครั้นฟังธรรมย่อมทรงธรรมไว้ ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงไว้แล้ว เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทน ได้ซึ่งความพินิจ เมื่อธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะย่อมเกิด เมื่อเกิดฉันทะแล้ว ย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมไตร่ตรอง ครั้นไตร่ตรองแล้ว ย่อมตั้งความเพียร เมื่อมีตนส่งไปแล้ว ย่อมทำให้แจ้งชัดซึ่งบรมสัจจะด้วยกาย และย่อมแทงตลอดเห็นแจ้งบรมสัจจะนั้นด้วยปัญญา