ขออธิบายเรื่อง วิมุตติญาณทัสสนะ หรือที่หลวงตามหาบัวเรียกว่า อายตนะนิพพาน ก่อนนะคะ
ส่วนเรื่อง "นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ขึ้นไปอีกหาประมาณไม่ได้ ผู้รู้เด่นๆ ที่ใช้อยู่นี้ไม่ใช่ ก็คือในวงขันธ์
ความรู้อันนี้อยู่ในวงขันธ์ อันนั้นนอกจากนี้แล้วพูดไม่ได้เลย" ว่างๆจะมาอธิบายตามที่เข้าใจอีกครั้งค่ะ
อธิบายเพิ่มจากที่เคยอธิบายไว้บางส่วน
ที่กระทู้ "ดูจิตติดเฉยโง่ "อัญญาณุเบกขา"
ดูจิตติดเฉยโง่ "อัญญาณุเบกขา"
การรู้เฉยๆ กับความรู้สึกที่เกิดขึ้นนั้นๆ ก็คือ การทำสมาธิอย่างหนึ่ง
ถ้ารู้เฉยๆ ในขณะใช้ชีวิตประจำวันก็จะเป็นการทำสมาธิแบบเปิดอายตนะ
เมื่อมีผัสสะ เกิดเวทนา สุข ทุกข์ เฉยๆ เราก็แค่รู้เฉยๆ แล้วก็วาง
การจะวางได้ช้า-เร็วขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับอินทรีย์ภาวนาของแต่ละบุคคล
ถ้าเกิดความรู้สึกปุ๊บ เราวางได้เลย ก็คือเรารู้เฉยๆ เราไม่เข้าไปยึดจับความรู้สึกนั้น
แต่เราแค่ดู-แค่รู้-แค่เห็นความรู้สึกนั้นๆที่มันกำลังเกิดขึ้น แล้วเดี๋ยวมันก็ดับไป
(เดี๋ยวก็ดีใจแล้วก็ดับ เดี๋ยวก็เสียใจแล้วก็ดับ เดี๋ยวก็ไม่พอใจแล้วก็ดับ
เพราะมันมีเหตุปัจจัยมันจึงเกิด เมื่อเหตุปัจจัยหมดมันก็ดับ)
ถ้าเราสามารถรู้-ดู-เห็นอย่างนี้ได้บ่อยๆ มากๆ ก็จะทำให้เรารู้ทันจิตสังขาร
อันนี้เป็นการใช้จิตสังขาร ดูจิตสังขาร อันนี้เป็นการทำวิปัสสนา
เมื่อทำให้มากๆๆ จน รู้-ดู-เห็นได้เท่าทันกับทุกๆผัสสะ เกิดผัสสะปุ๊บวางได้เลย
จะทำให้จิตว่าง-สงบและตั้งมั่น ไม่แส่ส่ายออกไป เป็นเอกัคคตา จนถึงที่สุดแล้ว
จิต(สัตว์)จะแยกตัวออกจากขันธ์๕ ทำให้เห็นการทำงานของขันธ์๕ เพียวๆ (จากตรงนี้จะเกิดขึ้นเองพร้อมภวังค์)
โดยที่จิต(สัตว์ฯ) ไม่ได้เข้าไปร่วมเลย ขันธ์๕จะดับสนิทไปจากจิต แยกเป็นคนละส่วนกัน
จิต(สัตว์ฯ)จะกลายเป็นผู้ดู อาการที่เกิดจากผัสสะของขันธ์๕จะเป็นผู้แสดง(ผู้ถูกดู)
จิต(สัตว์ฯ)จะเห็นการทำงานของขันธ์๕ ที่ปรากฎนั้นๆ ด้วยจิตเอง โดยไม่ได้ใช้การคิด
จิต(สัตว์ฯ)จะประจักษ์ชัดเพราะเห็นความจริงของขันธ์๕ เห็นอริยสัจ ด้วยตัวของจิตเอง
แล้วจะถอดถอนอวิชชาได้ ประหานกิเลส อันนี้เป็นวิปัสสนาญาณ
เมื่อจิต(สัตว์ฯ)ประหานกิเลส ถอดถอนอวิชชาได้แล้ว
จิต(สัตว์ฯ)ก็มีวิชชา จึงถูกเรียกใหม่ว่า วิมุตติญาณทัสสนะ(ผู้รู้ในวิมุตติ) มีที่ตั้งอาศัยในวิมุตติ
ก็คือสิ่งที่หลวงตามหาบัวท่านเรียกว่า อายตนะนิพพาน(สิ่งที่รู้นิพพาน) นั่นเอง
[ขณะจิตที่เกิดวิปัสสนาญาณ จิตจะหยั่งลงภวังค์ ขันธ์๕จะดับสนิท เกิดพร้อมกันในขณะจิตเดียว
หลังจากนั้นแล้ว จิตจะขึ้นสู่วิถีจิตใหม่ ซึ่งทางอภิธรรมเรียกว่า ปัจจเวกขณวิถี]
ก็ในเมื่อ ในสภาวะนิพพานหรือวิมุตติ ขันธ์๕ดับสนิท (อายตนะของขันธ์๕ก็ดับสนิท สติ-สมาธิก็ดับสนิท)
แล้วอะไรหล่ะ?ที่รู้นิพพาน สิ่งที่รู้นิพพานก็คือ วิมุตติญาณทัสสนะ หรือ อายตนะนิพพานที่หลวงตาเรียก
.............
[อธิบายตามความเข้าใจว่า : พระสูตรนี้ บ่งบอกถึง
ขณะเกิดวิปัสสนาญาณ เมื่อวิมุตติญาณทัสสนะปรากฏ จะมีสิ่งที่เกิด-สิ่งที่ถูกปรุงได้รอดออกไป
ไม่ใช่มีอะไรเกิดขึ้นมาใหม่
เพราะมีวิมุตติญาณทัสสนะ(สิ่งที่ไม่เกิด-มิถูกปรุง) จึงปรากฏมีความรอดออกไปของสิ่งที่เกิด-ที่ถูกปรุง]
อ้างอิง:
ภิกษุ ท.! สิ่งซึ่งมิได้เกิด มิได้เป็น มิได้ถูกอะไรทำ มิได้ถูกอะไรปรุง นั้นมีอยู่.
ภิกษุ ท.! ถ้าหากว่า สิ่งที่มิได้เกิด มิได้เป็น มิได้ถูกอะไรทำ มิได้ถูกอะไรปรุง จักไม่มีอยู่แล้วไซร้,
ความรอดออกไปได้ของสิ่งที่เกิด ที่เป็น ที่ถูกอะไรทำ ที่ถูกอะไรปรุง ก็จักไม่ปรากฏเลย.
ภิกษุ ท.! เพราะเหตุที่มีสิ่งซึ่งมิได้เกิด มิได้เป็น มิได้ถูกกระทำ มิได้ถูกอะไรปรุง นั่นเอง
จึงได้มีความรอดออกไปได้ของสิ่งที่เกิด ที่เป็น ที่ถูกอะไรทำ ที่ถูกอะไรปรุง, ปรากฏอยู่.
- อุ. ขุ. ๒๕/๒๐๗/๑๖๐.
373-สิ่งนั้นมีแน่! - อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น - สัจจธรรมแห่งชีวิต - Wunjun Group
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น[อธิบายตามความเข้าใจว่า : สภาวะข้างล่างนี้คือ สภาวะวิมุตติ]
ภิกษุ ท.! "สิ่ง" สิ่งนั้นมีอยู่, เป็นสิ่งซึ่งในนั้นไม่มีดิน ไม่มีน้ำ
ไม่มีไฟ ไม่มีลม, ไม่ใช่อากาสานัญ จายตนะ ไม่ใช่วิญญาณัญจายตนะ
ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ, ไม่ใช่โลกนี้
ไม่ใช่โลกอื่น, ไม่ใช่ดวงจันทร์ หรือดวงอาทิตย์ทั้งสองอย่าง.
[อธิบายตามความเข้าใจว่า : สภาวะข้างล่างนี้คือ วิมุตติญาณทัสสนะ]
ภิกษุ ท.! ในกรณีเกี่ยวกับ "สิ่ง" สิ่งนั้น เราไม่กล่าวว่ามีการมา,
ไม่กล่าวว่ามีการไป, ไม่กล่าวว่ามีการหยุด, ไม่กล่าวว่ามีการจุติ, ไม่กล่าวว่า
มีการเกิดขึ้น. สิ่งนั้นมิได้ตั้งอยู่, สิ่งนั้นมิได้เป็นไป และ สิ่งนั้นมิใช่อารมณ์;
นั่นแหละคือ ที่สุดแห่งทุกข์ ละ.“สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง
“สิ่ง” สิ่งหนึ่งซึ่งบุคคลพึงรู้แจ้ง เป็นสิ่งที่ไม่มีปรากฏการณ์ ไม่มีที่สุด
มีทางปฏิบัติเข้ามาถึงได้โดยรอบ, นั้นมีอยู่;
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่หยั่งลงได้;
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ ความยาว ความสั้น ความเล็ก ความใหญ่ ความงาม ความ ไม่งาม ไม่หยั่งลงได้;
ใน “สิ่ง” นั้นแหละ นามรูป ดับสนิทไม่มีเหลือ;
นามรูป ดับสนิท ใน “สิ่ง” นี้ เพราะการดับสนิทของวิญญาณ; ดังนี้แล.
สี. ที. ๙/๒๘๙/๓๔๘-๓๕๐.
………….
[วินัยเป็นข้อปฏิบัติให้บรรลุความหลุดพ้นจากกิเลสเป็นที่สุด]
ก็อีกประการหนึ่ง กุศลธรรมเหล่าใด ซึ่งมีสังวรเป็นมูล อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว, บุคคลผู้ทรงวินัยนั่นแล
ชื่อว่าเป็นทายาทแห่งกุศลธรรมเหล่านั้น เพราะธรรมเหล่านั้น มีวินัยเป็นมูล. สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
วินัย ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่สังวร (ความสำรวม).
สังวรย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่อวิปปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อน),
อวิปปฏิสาร ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ความปราโมทย์,
ความปราโมทย์ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ปีติ(ความอิ่มใจ),
ปีติ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ปัสสัทธิ (ความสงบ),
ปัสสัทธิย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ความสุข,
ความสุข ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่สมาธิ(ความตั้งใจมั่น)
สมาธิ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้เห็นตามเป็นจริง),
ยถาภูตญาณทัสสนะ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่นิพพิทา(ความเบื่อหน่าย),
นิพพิทา ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่วิราคะ (ความสำรอกกิเลส),
วิราคะ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่วิมุตติ (ความหลุดพ้น)
วิมุตติ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่วิมุตติญาณทัสสนะ (ความรู้เห็นความหลุดพ้น),
วิมุตติญาณทัสสนะ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่อนุปาทาปรินิพพาน (ความดับสนิทหาเชื้อมิได้),
การกล่าว การปรึกษา กิริยานั่งใกล้ความเงี่ยโสตลงสดับ แต่ละอย่างๆ มีอนุปาทาปรินิพพาน คือ ความพ้น
พิเศษแห่งจิต ไม่ถือมั่น นั่นเป็นผล.
*เพราะฉะนั้น ควรทำความพยายามโดยเอื้อเฟื้อในการเล่าเรียนพระวินัย ดังนี้แล.
* วิ. ปริวาร. ๘/๔๐๖.สติ-สมาธิ-ฌาน-ตัวรู้-อายตนะของขันธ์๕-วิญญาณหกฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์๕ ไม่ใช่ จิต(สัตว์)
จิต(สัตว์) คือ สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิด จะเห็นจิต(สัตว์)ได้ต้องได้ฌาน๔ แยกจิตออกจากนามรูปได้ค่ะ
ตอนปฏิสนธิ = จิต(สัตว์ฯ) + ขันธ์๕(กรรมเก่าสร้างขึ้น)
= จิต(สัตว์ฯ) + ขันธ์๕ (รูปขันธ์+เวทนาขันธ์+สัญญาขันธ์+สังขารขันธ์+วิญญาณขันธ์)
จิต(สัตว์)จะสแตนบายอยู่ในขันธ์๕ อยู่ตลอดถ้ามันไม่มีตัณหาอุปทานในขันธ์๕ กรรมใหม่ก็ไม่เกิดขึ้น
จะสรุปคร่าวๆดังนี้ค่ะ
การเกิดวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
[อายตนะภายนอก+สฬายตนะ(อายตนะภายใน) > เกิดวิญญาณหก (รูป-เสียง-กลิ่น-รส-สัมผัส-ธรรมารมณ์)]
ในชีวิตประจำวันจิตของเราคือจิตที่ถูกปรุงแต่งแล้ว ก็คือสิ่งที่เรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง (จิตสังขาร)
= วิญญาณหก + จิต(สัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูก) = จิต, มโน, วิญญาณ (ใช้เรียกแทนกันได้)
ก็คือจิตที่อยู่ในวงจรปฏิจสมุปบาท
…………………….
วงจรของขันธ์๕และปฏิจสมุปบาท คือ
นาม-รูป>สฬายตนะ>ผัสสะ>เวทนา>ตัณหา>อุปาทาน>ภพ>ชาติ>ชรา-มรณะ>อวิชชา>สังขาร>วิญญาณ>นาม-รูป
……………………………………………………………..….……. (2)
อายตนะภายนอก+สฬายตนะ(อายตนะภายใน) > เกิดวิญญาณหก = ผัสสะ
…….…….. (2) ……. (1) …………………………………………….……………….…… (2)
เมื่อเกิดวิญญาณหก ถ้าจิตยังมีตัณหามีอุปทานในขันธ์๕ จิตก็จะเข้าไปเกาะเอาวิญญาณหก ว่าเป็นมันเป็นของมัน
………… (2) ……..… (1) ……………………..………………….. (2) + (1)
จะ = วิญญาณหก + จิต(สัตว์ฯ) ก็จะ = สิ่งที่ถูกเรียกว่า จิต, มโน, วิญญาณ (ใช้เรียกแทนกันได้)
กระบวนการปฏิจสมุปบาทก็เกิด
.........................
……………..……………..…………..……………………………………………………………………………….……… (2)+(1)
นาม-รูป(กรรมเก่า)>สฬายตนะ>ผัสสะ>เวทนา>ตัณหา>อุปาทาน>ภพ>ชาติ>ชรา-มรณะ>อวิชชา>สังขาร>วิญญาณ>นาม-รูป
<--กรรมเก่า-->+<--ยังไม่เกิดกรรมใหม่-->+<-----------เกิดกรรมใหม่ [สะสมไว้ในจิต(สัตว์)]---------->=นามรูปใหม่
......................... (2)+(1) …………...…. (2) ……..…….. (1)
ปฏิจสมุปบาทเกิดมาถึง วิญญาณ คนนั้นตาย=วิญญาณหกตาย แต่ จิต(สัตว์ฯ)ไม่ตาย>มันไปสร้างนามรูปใหม่ตามกรรมที่ทำไว้
เ้ส้นทางของ จิต(สัตว์) จะสิ้นสุดลงได้อย่างไร
ก็ต้องปฏิบัติตามมรรค 8 เพื่อออกจากกระบวนการปฏิจสมุปบาทจนเกิดวิปัสสนาญาณ
ตามที่อธิบายไว้ในความเห็นที่ #18
นิพพานไม่ใช่ผู้รู้
นิพพานไม่ใช่ผู้รู้ เหนือผู้รู้ขึ้นไปอีกหาประมาณไม่ได้
ผู้รู้เด่นๆ ที่ใช้อยู่นี้ไม่ใช่ ก็คือในวงขันธ์ ความรู้อันนี้อยู่ในวงขันธ์ อันนั้นนอกจากนี้แล้วพูดไม่ได้เลย
จะขอ อุปมา ดังนี้
1. วิมุตติญาณทัสสนะ(ผู้รู้ในวิมุตติ) = ปลาที่กระโดดพ้นน้ำ มาสัมผัสอากาศเหนือน้ำ
2. สภาวะวิมุตติ = อากาศเหนือน้ำ
3. ขันธ์๕(ผู้รู้เป็นส่วนหนึ่งของขันธ์๕)+กระบวนการปฏิจสมุปบาท = น้ำ+มูถคูถ
ในชีวิตของเราปัจจุบันก็คือจมอยู่ในน้ำ+มูถคูถ (ข้อ3.)
ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 จนเกิดวิปัสสนาญาณ
ในขณะเกิดวิปัสสนาญาณ จิตหยั่งลงภวังค์ จะเหมือนปลาที่กำลังพุ่งขึ้นไปเหนือน้ำ พ้นจากน้ำ แล้วสัมผัสอากาศ (ข้อ 1.)
พอพ้นน้ำ ขันธ์๕ก็จะดับ กระบวนการปฏิจสมุปบาทก็ดับ มีญาณหยั่งรู้อริยสัจ สัมผัสสภาวะวิมุตติ (ข้อ 2.)
แล้วหลังจากนั้นจิตก็ขึ้นสู่วิถี ก็คือ ปลาตัวนั้นก็ตกลงมาจมอยู่ในน้ำมูถคูถ(ข้อ 3.)เหมือนเดิมแต่ไม่ติดน้ำ+มูถคูถ ซึ่งมีอยู่โดยรอบ
ก็เหมือนมีหอกข้างแคร่ ถ้ามีธรรมเป็นใหญ่ ก็จะไม่เสียท่า ไม่ถูกถูกหอกทิ่มแทงได้อีก