ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายย่อมยังธรรมทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อจากเตภูมิกวัฏอันมิใช่ฝั่งไปถึงฝั่ง คือ นิพพานด้วยประการดังนี้แล ฯ
เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติภายใต้ความแปรปรวนไปสู่การจบสิ้นสภาพ. - ขอจง มีลมหายใจแม้แผ่วเบา ได้สุดขั้ว กันเถิด.
ศึล - อินทรี - อาหาร - ชำระจิตให้ตื่นอยู่เสมอ
อำพล จงสิทธิผล
Ampol Chongsitthiphol
เสียสละ ... อดทน ... รับวิบากผู้อื่นไว้บ้าง ... ... แต่มันเหนื่อยนะ เหนื่อยสุดสุดเลยมึง
คำสั่งสอนจาก... พระอาจารย์ใหญ่
เมื่อเข้าสู่ ความนิ่งอันประเสริฐ แล้ว อินทรีย์สงบ จิตระงับ (การสลัดคืน จะเกิดตามมา) จะมีสภาพ ลำดับนี้
  • วิสุทธิ คือ สภาพใจสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ผุดผ่อง บรรเจิด ภายใน (และมีอนิสงค์ ต่อกายภายนอกในภายหลัง)
  • วิมุตติ คือ สภาพใจเป็นอิสระจาก สภาพแวดล้อมที่เจือด้วยภพ (ส่วนผสมโมหะ โทสะ โลภะ)

    มีนิพพาน เป็นที่สุด หรือ ปลายทางแห่งทุกข์ เส้นทางจิตจบลงแค่นี้ ด้วย ญานทัสสนะอันหมดจดเกลี้ยงเกลา

  • นิพพาน การอยู่ในสภาพไม่มีการก่อเกิด
    ( อันมาจาก ไม่คิดต่อ ปรุงแต่งต่อ เพราะตัวทำให้คิดต่อปรุงแต่งต่อคือ ตัวโมหะ โทสะ โลภะ)

กัลญานมิตรที่ดี ... ควรเป็นผู้มีวาจาไพเราะ เป็นที่ปรึกษาที่ดี และ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา๕ วิโมกข์๘ และ อภิญญา๖ พึงทำให้แจ้งชัด

อาเนญชสัปปายสูตร

ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่นิคมชื่อกัมมาสธรรม ของชาวกุรุ ในแคว้นกุรุ 
สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า 
ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ

พระมีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
กามไม่เที่ยง เป็น ของว่างเปล่า เลือนหายไปเป็นธรรมดา 
ลักษณะของกามดังนี้ ได้ทำความล่อลวง เป็นที่บ่นถึงของคนพาล 
กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และกามสัญญา ทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
ทั้ง ๒ อย่างนี้ เป็นบ่วงแห่งมาร เป็นแดนแห่ง มาร เป็นเหยื่อแห่งมาร เป็นที่หากินของมาร 

ในกามนี้ ย่อมมีอกุศลลามกเหล่านี้ เกิดที่ใจคือ
อภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะบ้าง เป็นไป
  (อยากได้ของผู้อื่น อิจฉาผูกใจแค้น คอยจ้องแย่งชิง)

กามนั่นเอง ย่อม เกิดเพื่อเป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกย่อมพิจารณาเห็นในเรื่องกามนั้น ดังนี้ว่า 
กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้ง ที่มีในภพหน้า 
ทั้ง ๒ อย่างนี้ เป็นบ่วงแห่งมาร เป็นแดนแห่งมาร เป็นเหยื่อ แห่งมาร เป็นที่หากินของมาร ในกามนี้ ย่อมมีอกุศลลามกเหล่านี้เกิดที่ใจ คืออภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะบ้าง เป็นไป กามนั่นเอง ย่อมเกิดเพื่อ เป็นอันตรายแก่อริยสาวกผู้ตามศึกษาอยู่ในธรรมวินัยนี้ 

ไฉนหนอ เราพึงมี
จิตเป็นมหัคคตะอย่างไพบูลย์ (จิตรวมใหญ่
อธิษฐานใจครอบโลกอยู่ 
เพราะเมื่อเรามีจิตเป็น มหัคคตะอย่างไพบูลย์ อธิษฐานใจครอบโลกอยู่ อกุศลลามกเกิดที่ใจ ได้แก่ อภิชฌาบ้าง พยาบาทบ้าง สารัมภะบ้าง นั้นจักไม่มี เพราะละอกุศลเหล่านั้นได้ 
จิตของเราที่ไม่เล็กน้อยนั่นแหละ จักกลายเป็นจิตหาประมาณมิได้ อันเราอบรม ดีแล้ว 
เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อม ผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส 
ก็จะเข้าถึงอาเนญชสมาบัติ 
หรือจะน้อมใจ ไปในปัญญาได้ ในปัจจุบัน 
เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงสภาพหาความหวั่นไหวมิได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ ๑ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกพิจารณาเห็น ดังนี้ซึ่ง
กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่ มีในภพหน้า 

ซึ่งรูปบางชนิดและรูปทั้งหมด คือ มหาภูต ๔ และรูปอาศัยมหาภูต ทั้ง ๔ 
เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ด้วยประการนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทา นั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส 
ก็จะเข้าถึงอาเนญชสมาบัติ 
หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน 
เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไป ในภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงสภาพหาความหวั่นไหวมิได้ นั่นเป็นฐานะที่ มิได้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติเป็นที่สบายข้อ ที่ ๒ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณา เห็นดังนี้ว่า 
กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า
และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 

รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และรูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
ทั้ง ๒ อย่างนี้ เป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นไม่ควร ยินดี ไม่ควรบ่นถึง ไม่ควรติดใจ 

เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้ มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส 
ก็จะเข้าถึง อาเนญชสมาบัติ 
หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน 
เมื่อตายไป ข้อที่ วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงสภาพหาความหวั่นไหว มิได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติ เป็นที่สบายข้อที่ ๓ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณา เห็นดังนี้ว่า 
กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และรูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และอาเนญชสัญญา สัญญาทั้งหมดนี้ 

ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ใด ที่นั้นคืออากิญจัญญายตนะ อันดี ประณีต เมื่ออริยสาวกปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้ มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส 
ก็จะเข้าถึง อากิญจัญญายตนะ 
หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน 
เมื่อตายไป ข้อที่ วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพอากิญจัญญายตนะ นั่น เป็นฐานะที่มีได้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ ๑ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกอยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า 
สิ่งนี้ว่างเปล่าจากตน 
หรือจากความเป็นของตน 
เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วย ปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส 
ก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ 
หรือจะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน 
เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณ อันจะเป็นไปในภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพอากิญจัญญายตนะ นั่นเป็น ฐานะที่มีได้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติ เป็นที่สบายข้อที่ ๒ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณา เห็นดังนี้ว่า 
เราไม่มีในที่ไหนๆ 
สิ่งน้อยหนึ่งของใครๆ หามีในเรานั้นไม่ 
และ สิ่งน้อยหนึ่งของเราก็หามีในที่ไหนๆ ไม่ ในใครๆ 
ย่อมไม่มีสิ่งน้อยหนึ่งเลย 
เมื่ออริยสาวกนั้นปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อมผ่องใส ในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส 
ก็จะเข้าถึงอากิญจัญญายตนะ 
หรือจะน้อมใจ ไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน 
เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปในภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพอากิญจัญญายตนะ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายข้อที่ ๓ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ประการอื่นยังมีอีก อริยสาวกย่อมพิจารณา เห็นดังนี้ว่า 
กามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และกามสัญญา ทั้งที่มีใน ภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
รูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และรูปสัญญา ทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และอาเนญชสัญญา อากิญจัญญายตนสัญญา 

สัญญาทั้งหมดนี้ ย่อมดับไม่มีเหลือในที่ใด ที่นั่นคือเนวสัญญานาสัญญายตนะอันดี ประณีต 
เมื่ออริยสาวกปฏิบัติแล้วอย่างนี้ เป็นผู้มากด้วยปฏิปทานั้นอยู่ จิตย่อม ผ่องใสในอายตนะ เมื่อมีความผ่องใส 
ก็จะเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ 
หรือ จะน้อมใจไปในปัญญาได้ในปัจจุบัน 
เมื่อตายไป ข้อที่วิญญาณอันจะเป็นไปใน ภพนั้นๆ พึงเป็นวิญญาณเข้าถึงภพเนวสัญญานาสัญญายตนะ 
นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่า ปฏิปทามีเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็น ที่สบาย ฯ

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้ทูล พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า 
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติ แล้วอย่างนี้ ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และ จักไม่มีแก่เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้นๆ เสีย ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ภิกษุนั้นพึงปรินิพพานหรือหนอ หรือว่าไม่พึงปรินิพพาน ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ภิกษุบางรูปพึงปรินิพพานในอัตภาพ นี้ก็มี บางรูปไม่พึงปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี ฯ

พระอานนท์ // ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้ภิกษุ บางรูปปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี บางรูปไม่ปรินิพพานในอัตภาพนี้ก็มี ฯ

พระผู้มีพระภาค // ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ย่อมได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และจักไม่มีแก่เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้นๆ เสีย เธอยินดี บ่นถึง ติดใจอุเบกขา นั้นอยู่ เมื่อเธอยินดี บ่นถึง ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ วิญญาณย่อมเป็นอันอาศัย อุเบกขานั้น ยึดมั่นอุเบกขานั้น 
ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้มีความยึดมั่นอยู่ ย่อมปรินิพพาน ไม่ได้ ฯ

พระอานนท์ // ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา จะเข้าถือเอาที่ไหน ฯ

พระผู้มีพระภาค // ดูกรอานนท์ ย่อมเข้าถือเอาเนวสัญญานาสัญญายตนภพ ฯ

พระอานนท์ // ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอทราบว่า ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา ชื่อว่าย่อมเข้าถือเอาแดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาหรือ ฯ

พระผู้มีพระภาค // ดูกรอานนท์ ภิกษุนั้นเมื่อเข้าถือเอา ย่อมเข้าถือเอาแดนอันประเสริฐ สุดที่ควรเข้าถือเอาได้ ก็แดนอันประเสริฐสุดที่ควรเข้าถือเอาได้นี้ คือ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฯ

ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปฏิบัติแล้วอย่างนี้ ย่อม ได้อุเบกขาโดยเฉพาะด้วยคิดว่า สิ่งที่ไม่มีก็ไม่พึงมีแก่เรา และจักไม่มีแก่เรา เราจะละสิ่งที่กำลังมีอยู่ และมีมาแล้วนั้นๆ เสีย เธอไม่ยินดี ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจ อุเบกขานั้นอยู่ เมื่อเธอไม่ยินดี ไม่บ่นถึง ไม่ติดใจอุเบกขานั้นอยู่ วิญญาณก็ ไม่เป็นอันอาศัยอุเบกขานั้น และไม่ยึดมั่นอุเบกขานั้น ดูกรอานนท์ ภิกษุผู้ไม่มี ความยึดมั่น ย่อมปรินิพพานได้ ฯ

พระอานนท์ // น่าอัศจรรย์จริง พระพุทธเจ้าข้า ไม่น่าเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า อาศัยเหตุนี้ เป็นอันว่า พระผู้มีพระภาคตรัสบอกปฏิปทาเครื่องข้ามพ้นโอฆะแก่ พวกข้าพระองค์แล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิโมกข์ของพระอริยะเป็นไฉน ฯ

พระผู้มีพระภาค // ดูกรอานนท์ อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ 
ซึ่งกามทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และกามสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มี ในภพหน้า 
ซึ่งรูปทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
และรูปสัญญาทั้งที่มีในภพนี้ ทั้งที่มีในภพหน้า 
ซึ่งอาเนญชสัญญา 
ซึ่งอากิญจัญญายตนสัญญา 
ซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา 
ซึ่งสักกายะเท่าที่มีอยู่นี้ ซึ่งอมตะ คือความหลุดพ้นแห่งจิต เพราะไม่ถือมั่น 


ดูกรอานนท์ ด้วยประการนี้แล 
เราแสดงปฏิปทามีอาเนญชสมาบัติ เป็นที่สบายแล้ว 
เราแสดงปฏิปทามีอากิญจัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว
เรา แสดงปฏิปทามีเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติเป็นที่สบายแล้ว 
อาศัยเหตุนี้ เป็น อันเราแสดงปฏิปทาเครื่องข้ามพ้นโอฆะ คือวิโมกข์ของพระอริยะแล้ว 

ดูกรอานนท์ กิจใดอันศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูล ผู้อนุเคราะห์ อาศัยความอนุเคราะห์ พึงทำแก่สาวกทั้งหลาย กิจนั้นเราทำแล้วแก่พวกเธอ ดูกรอานนท์ นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง 
เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนใน ภายหลัง นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ


อทุกฺขมสุขํ
อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ
จตุตฺถํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหาสึ ฯ
สัจธรรมแห่งชีวิต

ทำนายชื่อสกุล



รายการน่าสนใจ
ค้นหาคำในพระไตรปิฏก
จิตบรรลุนิพพาน
(สมเด็จพระญาณสังวร)

wunjun - ood
ibuddha - wix
บาลีเทียบเคียง
จิตวิทยา
ญานสังวรธรรม
แปลบาลี
ญาน กถา

sitePage37 = อาเนญชสัปปายสูตร


    •ข่มไว้ ด้วยฌาน4
    •ด้วยการชำแรก ซึ่งวัฏฏสงสาร
    •ด้วยการตัดขาดภายใน โดยโลกุตตะระมรรค
    •ด้วยสำราญความสงบ ปฏิปัดสัทธิ
    •ด้วยการสลัดออก ดับหัวใจลมหายใจ
    ไม่ประมาท กับปัจจุบัน
    ไม่ประมาท ซึ่งความตาย วินาทีนั้น
    ดำรงความจางคลาย กับปัจจุบัน

    มีแรงบันดาลใจแรงกล้า
    จึงเกิด มุมานะ--ตั้งใจมั่น --> รวมจิตได้

    หาลึกเข้าไปในจิต ซึ่งภาระที่ไม่ยอมวาง
    เมื่อวางลงเสียได้เมื่อไหร่ อิสระทันที

    การทำสมาธิแบ่งเป็น 2 ด้าน

  1. ทางกาย
    คือ กาย+เวทนา
    โดยทำให้ ลมหายใจแผ่วเบา และ หัวใจเต้นเรียบ เป็นการบำรุงร่างกาย และจิตใจไปในตัว และให้มีท้องพล่อง งดอาหารหลังเที่ยง นั่งนิ่งจนมีสภาพถูกล็อคแข็งแกร่งแต่ไม่เกร็ง มีความมั่นคง

  2. ทางใจ
    คือ จิตตา+ธรรมมา
    วิธีจะเข้าถึงโดยการ ตัดกายทิ้ง???
    คือการพยายามระลึกถึงปิติทั่วร่างกาย แล้วเข้าสู่อารมภ์ใดอารมภ์เดียวแห่งปฏิุภาคนิมิต

    การเข้าสู่นิพพาน
    ด้วยการตัดลูกโซ่แห่งการก่อเกิดที่ ตัณหา อุปาทาน ไม่ให้เชื่อมเกิด ภพ ได้ คือ หยุดคิด หลังจากค้นพบแล้วว่า การก่อเกิดทุกชนิดเป็นทุกข์เปล่าประโยชน์

สุขเพราะความสงัด,
สุขเพราะไม่เบียดเบียน,
สุขเพราะปราศจากราคะ ก้าวล่วงกามเสียได้,
สุดอย่างยอด คือการนำความถือตัวออกเสียได้.

พระไตรปิฏก4.ปฐมภาณวาร

อุปทานมีอยู่ แต่ไม่ถือตาม
ถือตามมีอยู่ แต่มีสติไม่ถือ

เพราะวิราคะ อวิชชาจึงดับ
--ปราศจาก โมหะ โทสะ โลภะ--
-คลายจาก ความอยากกระหายอันกดดัน-
เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
--จึงหยุดคิด ไม่คิด--
เพราะสังขารดับ วิญญานจึงดับ
--ไม่ก่อเกิด กายใจสงบ--
เพราะวิญญานดับ นามรูปจึงดับ
--หัวใจจึงราบเรียบเสมอดับ--
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
--หัวใจไม่กระเทือน--
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
--หยุดการกระตุ้นอวัยวะ--
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
--ไม่ถูกกระตุ้น ไม่รู้สึก--
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

เพราะเป็นปัจจัยจึงมี เพราะปัจจัยดับจึงดับ

๑. มีสิ่งหวงแหน (เช่น สตรี ) หรือไม่
๒. มีจิตผูกเวรหรือไม่
๓. มีจิตเบียดเบียนหรือไม่
๔. มีจิตเศร้าหมอง ( ด้วยกิเลส ) หรือไม่
๕. ทำจิตเป็นให้ไปในอำนาจได้หรือไม่

    เครื่องเกาะจิตอันเศร้าหมอง
  1. วิจิกิจฉา
  2. อะมะนะสิการ
  3. ถีนะมิทธะ
  4. ความหวาดเสียว
  5. ความตื่นเต้น
  6. ความชั่วหยาบ
  7. ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป
  8. ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
  9. ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้น
  10. ความสำคัญสภาวะต่างกัน
  11. ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป

     

    withhold
    ระงับ, ยั้ง, ดอง, ไม่ยอมให้, ยั้งมือ

    settle
    ชำระ, ระงับ, ตกลง, กำหนด, ยุบ, เข้าที่

    quell
    ระงับ, ปราบ, ทำให้สงบ, ดับไฟ, ระงับอารมณ์ stay
    คอย, พักอยู่, หยุดอยู่, อาศัยอยู่, ยืนหยัด, ระงับ

    deaden
    ระงับ, ทำให้ชา, ทำให้มึน, ทำให้ไม่รู้สึก, ทำให้หย่อนลง

    forbear
    อดทน, หักห้าม, อดกลั้น, ละเว้น, ระงับ, ข่มใจ refrain
    ละเว้น, งด, ระงับ, ว่างเว้น, กลั้น, ข่มจิต

    mortify
    ระงับ, ฉีกหน้า, ทรมานร่างกาย, ทำให้บัดสี, ทำให้เสียใจ

    propitiate
    เอาใจ, ระงับ, ประจบประแจง, ป้อยอ, ปลอบ, บรรเทา

    abate
    บรรเทา, รา, ระงับ, รำงับ, ค่อยยังชั่ว, เบาบาง

    allay
    บรรเทา, ระงับ, ทำให้สงบ, ทำให้น้อยลง, คลายกังวล

    alleviate
    บรรเทา, ระงับ, แบ่งเบา, ทำให้น้อยลง, คลายใจ, ค่อยยังชั่ว

    assuage
    ระงับ, ทำให้บรรเทา, ทำให้ผ่อนคลาย, ค่อยยังชั่ว, น่าพึงพอใจ

    calm
    ใจเย็น, ระงับ, เงียบสงบ, ไม่ตื่นเต้น, ไม่มีลม, หงิมๆ