ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายย่อมยังธรรมทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อจากเตภูมิกวัฏอันมิใช่ฝั่งไปถึงฝั่ง คือ นิพพานด้วยประการดังนี้แล ฯ
เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติภายใต้ความแปรปรวนไปสู่การจบสิ้นสภาพ. - ขอจง มีลมหายใจแม้แผ่วเบา ได้สุดขั้ว กันเถิด.
ศึล - อินทรี - อาหาร - ชำระจิตให้ตื่นอยู่เสมอ
อำพล จงสิทธิผล
Ampol Chongsitthiphol
เสียสละ ... อดทน ... รับวิบากผู้อื่นไว้บ้าง ... ... แต่มันเหนื่อยนะ เหนื่อยสุดสุดเลยมึง
คำสั่งสอนจาก... พระอาจารย์ใหญ่
เมื่อเข้าสู่ ความนิ่งอันประเสริฐ แล้ว อินทรีย์สงบ จิตระงับ (การสลัดคืน จะเกิดตามมา) จะมีสภาพ ลำดับนี้
  • วิสุทธิ คือ สภาพใจสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ผุดผ่อง บรรเจิด ภายใน (และมีอนิสงค์ ต่อกายภายนอกในภายหลัง)
  • วิมุตติ คือ สภาพใจเป็นอิสระจาก สภาพแวดล้อมที่เจือด้วยภพ (ส่วนผสมโมหะ โทสะ โลภะ)

    มีนิพพาน เป็นที่สุด หรือ ปลายทางแห่งทุกข์ เส้นทางจิตจบลงแค่นี้ ด้วย ญานทัสสนะอันหมดจดเกลี้ยงเกลา

  • นิพพาน การอยู่ในสภาพไม่มีการก่อเกิด
    ( อันมาจาก ไม่คิดต่อ ปรุงแต่งต่อ เพราะตัวทำให้คิดต่อปรุงแต่งต่อคือ ตัวโมหะ โทสะ โลภะ)

กัลญานมิตรที่ดี ... ควรเป็นผู้มีวาจาไพเราะ เป็นที่ปรึกษาที่ดี และ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา๕ วิโมกข์๘ และ อภิญญา๖ พึงทำให้แจ้งชัด

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขาร เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข์โทมนัสและอุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ชราและมรณะเป็นไฉน ความแก่ ภาวะของ ความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเหี่ยว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่ หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชรา ก็มรณะ เป็นไฉน ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความทำลาย ความอันตรธาน มฤตยู ความตาย กาลกิริยา ความแตกแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพ ความขาด แห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่ามรณะ ชราและ มรณะ ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่า ชราและมรณะ ฯ

ก็ชาติเป็นไฉน ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลง (คือเป็นชลาพุชะหรืออัณฑชปฏิสนธิ) เกิด (คือเป็นสังเสทชปฏิสนธิ) เกิด จำเพาะ (คือเป็นอุปปาติกปฏิสนธิ ฯ) ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบในหมู่สัตว์นั้นๆ ของ เหล่าสัตว์นั้นๆ นี้เรียกว่าชาติ ฯ

ก็ภพเป็นไฉน ภพ ๓ เหล่านี้คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี้เรียกว่าภพ ฯ

ก็อุปาทานเป็นไฉน อุปาทาน ๔ เหล่านี้คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน สีลพัตตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน นี้เรียกว่า อุปาทาน ฯ

ก็ตัณหาเป็นไฉน ตัณหา ๖ หมวดเหล่านี้คือ รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา นี้เรียกว่าตัณหา ฯ

ก็เวทนาเป็นไฉน เวทนา ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา นี้เรียกว่าเวทนา ฯ

ก็ผัสสะเป็นไฉน ผัสสะ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส นี้เรียกว่าผัสสะ ฯ

ก็สฬายตนะเป็นไฉน อายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เรียกว่าสฬายตนะ ฯ

ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นี้เรียกว่ารูป นามและ รูปดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป ฯ

ก็วิญญาณเป็นไฉน วิญญาณ ๖ หมวดเหล่านี้คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ นี้เรียกว่า วิญญาณ ฯ

ก็สังขารเป็นไฉน สังขาร ๓ เหล่านี้คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร นี้เรียกว่าสังขาร ฯ

ก็อวิชชาเป็นไฉน ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในเหตุเกิดแห่งทุกข์ ความไม่รู้ในความดับทุกข์ ความไม่รู้ในปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับทุกข์ นี้เรียกว่าอวิชชา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะ สังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ฯ

ก็เพราะอวิชชานั่นแหละดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึง ดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้ ฯ

http://www.polyboon.com/dhumma/16_001.php


อุปทานขันธ์ 5

[๙๕] พระนครสาวัตถี ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕ เธอทั้งหลายจงฟัง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ขันธ์ ๕ เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปอย่างใดอย่าง หนึ่ง เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือ ประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้. นี้เรียกว่า รูปขันธ์. เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ สัญญาอย่าง ใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ฯลฯ วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้. นี้เรียกว่า วิญญาณขันธ์. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่า ขันธ์ ๕.

[๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูป อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ เป็นไปกับด้วยอาสวะ เป็นปัจจัยแก่อุปาทาน. นี้เรียกว่า อุปาทานขันธ์คือรูป. เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ฯลฯ สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ฯลฯ วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็น ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือใกล้ เป็นไปกับด้วย อาสวะ เป็นปัจจัยแก่อุปาทาน. นี้เรียกว่า. อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้ เรียกว่า อุปาทานขันธ์ ๕.

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=17&A=1065&Z=1082


อทุกฺขมสุขํ
อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ
จตุตฺถํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหาสึ ฯ
สัจธรรมแห่งชีวิต

ทำนายชื่อสกุล



รายการน่าสนใจ
ค้นหาคำในพระไตรปิฏก
จิตบรรลุนิพพาน
(สมเด็จพระญาณสังวร)

wunjun - ood
ibuddha - wix
บาลีเทียบเคียง
จิตวิทยา
ญานสังวรธรรม
แปลบาลี
ญาน กถา

sitePage58 = ปฏิจสมุปบาท


    •ข่มไว้ ด้วยฌาน4
    •ด้วยการชำแรก ซึ่งวัฏฏสงสาร
    •ด้วยการตัดขาดภายใน โดยโลกุตตะระมรรค
    •ด้วยสำราญความสงบ ปฏิปัดสัทธิ
    •ด้วยการสลัดออก ดับหัวใจลมหายใจ
    ไม่ประมาท กับปัจจุบัน
    ไม่ประมาท ซึ่งความตาย วินาทีนั้น
    ดำรงความจางคลาย กับปัจจุบัน

    มีแรงบันดาลใจแรงกล้า
    จึงเกิด มุมานะ--ตั้งใจมั่น --> รวมจิตได้

    หาลึกเข้าไปในจิต ซึ่งภาระที่ไม่ยอมวาง
    เมื่อวางลงเสียได้เมื่อไหร่ อิสระทันที

    การทำสมาธิแบ่งเป็น 2 ด้าน

  1. ทางกาย
    คือ กาย+เวทนา
    โดยทำให้ ลมหายใจแผ่วเบา และ หัวใจเต้นเรียบ เป็นการบำรุงร่างกาย และจิตใจไปในตัว และให้มีท้องพล่อง งดอาหารหลังเที่ยง นั่งนิ่งจนมีสภาพถูกล็อคแข็งแกร่งแต่ไม่เกร็ง มีความมั่นคง

  2. ทางใจ
    คือ จิตตา+ธรรมมา
    วิธีจะเข้าถึงโดยการ ตัดกายทิ้ง???
    คือการพยายามระลึกถึงปิติทั่วร่างกาย แล้วเข้าสู่อารมภ์ใดอารมภ์เดียวแห่งปฏิุภาคนิมิต

    การเข้าสู่นิพพาน
    ด้วยการตัดลูกโซ่แห่งการก่อเกิดที่ ตัณหา อุปาทาน ไม่ให้เชื่อมเกิด ภพ ได้ คือ หยุดคิด หลังจากค้นพบแล้วว่า การก่อเกิดทุกชนิดเป็นทุกข์เปล่าประโยชน์

สุขเพราะความสงัด,
สุขเพราะไม่เบียดเบียน,
สุขเพราะปราศจากราคะ ก้าวล่วงกามเสียได้,
สุดอย่างยอด คือการนำความถือตัวออกเสียได้.

พระไตรปิฏก4.ปฐมภาณวาร

อุปทานมีอยู่ แต่ไม่ถือตาม
ถือตามมีอยู่ แต่มีสติไม่ถือ

เพราะวิราคะ อวิชชาจึงดับ
--ปราศจาก โมหะ โทสะ โลภะ--
-คลายจาก ความอยากกระหายอันกดดัน-
เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
--จึงหยุดคิด ไม่คิด--
เพราะสังขารดับ วิญญานจึงดับ
--ไม่ก่อเกิด กายใจสงบ--
เพราะวิญญานดับ นามรูปจึงดับ
--หัวใจจึงราบเรียบเสมอดับ--
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
--หัวใจไม่กระเทือน--
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
--หยุดการกระตุ้นอวัยวะ--
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
--ไม่ถูกกระตุ้น ไม่รู้สึก--
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

เพราะเป็นปัจจัยจึงมี เพราะปัจจัยดับจึงดับ

๑. มีสิ่งหวงแหน (เช่น สตรี ) หรือไม่
๒. มีจิตผูกเวรหรือไม่
๓. มีจิตเบียดเบียนหรือไม่
๔. มีจิตเศร้าหมอง ( ด้วยกิเลส ) หรือไม่
๕. ทำจิตเป็นให้ไปในอำนาจได้หรือไม่

    เครื่องเกาะจิตอันเศร้าหมอง
  1. วิจิกิจฉา
  2. อะมะนะสิการ
  3. ถีนะมิทธะ
  4. ความหวาดเสียว
  5. ความตื่นเต้น
  6. ความชั่วหยาบ
  7. ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป
  8. ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
  9. ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้น
  10. ความสำคัญสภาวะต่างกัน
  11. ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป

     

    withhold
    ระงับ, ยั้ง, ดอง, ไม่ยอมให้, ยั้งมือ

    settle
    ชำระ, ระงับ, ตกลง, กำหนด, ยุบ, เข้าที่

    quell
    ระงับ, ปราบ, ทำให้สงบ, ดับไฟ, ระงับอารมณ์ stay
    คอย, พักอยู่, หยุดอยู่, อาศัยอยู่, ยืนหยัด, ระงับ

    deaden
    ระงับ, ทำให้ชา, ทำให้มึน, ทำให้ไม่รู้สึก, ทำให้หย่อนลง

    forbear
    อดทน, หักห้าม, อดกลั้น, ละเว้น, ระงับ, ข่มใจ refrain
    ละเว้น, งด, ระงับ, ว่างเว้น, กลั้น, ข่มจิต

    mortify
    ระงับ, ฉีกหน้า, ทรมานร่างกาย, ทำให้บัดสี, ทำให้เสียใจ

    propitiate
    เอาใจ, ระงับ, ประจบประแจง, ป้อยอ, ปลอบ, บรรเทา

    abate
    บรรเทา, รา, ระงับ, รำงับ, ค่อยยังชั่ว, เบาบาง

    allay
    บรรเทา, ระงับ, ทำให้สงบ, ทำให้น้อยลง, คลายกังวล

    alleviate
    บรรเทา, ระงับ, แบ่งเบา, ทำให้น้อยลง, คลายใจ, ค่อยยังชั่ว

    assuage
    ระงับ, ทำให้บรรเทา, ทำให้ผ่อนคลาย, ค่อยยังชั่ว, น่าพึงพอใจ

    calm
    ใจเย็น, ระงับ, เงียบสงบ, ไม่ตื่นเต้น, ไม่มีลม, หงิมๆ