กุญแจแห่งพุทธะธรรม
อุปาทาน เปรียบดั่ง เส้นในแมงมุม ที่บางเฉียบแทบมองไม่เห็น และ มีความเหนียว เส้นใยนี้แหละที่เชื่อมระหว่าง ตัณหา และ ภพ เอาไว้ โดยไม่ทันรู้ตัว ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ชี้ระบุไว้ ตามคำกล่าวตัวอย่างดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้ตถาคตรู้ชัดว่า
ฐานะที่ตั้งแห่งทิฏฐิเหล่านี้ บุคคลถือไว้อย่างนั้น แล้ว ยึดไว้อย่างนั้นแล้ว ย่อมมีคติอย่างนั้น มีภพเบื้องหน้าอย่างนั้น
[สมมุติ (สัญญา + ปรุงแต่ง)] (อุปาทาน ตัวยึด) <-----
และตถาคตย่อมรู้ เหตุ นั้นชัด ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่นก็ทราบความเกิดนั้น ความดับไป คุณและโทษของเวทนาทั้งหลาย
เหตุคือหลักแห่่งปฏิจสมุปบาท
กับทั้งอุบายเป็นเครื่องออกไปจากเวทนาเหล่านั้น ตามความเป็นจริง จึงทราบความดับได้เฉพาะตน เพราะไม่ถือมั่น ตถาคตจึงหลุดพ้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้แลที่ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต
ซึ่งตถาคตทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริงโดยชอบ.
พระไตรปิฎก ไทย (ฉบับหลวง) เล่มที่ ๙
สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
หน้าที่ ๒๒
อุปสรรคแห่งอินทรีย์สงบ (เหตุมาจาก นิวรณ์5 ผลส่งไปสู่ ร่างกายและจิตใจ)
- ลมหายใจที่ไม่ละเอียดแผ่วเบา
- หัวใจที่เต้นแรงและกระตุก
- ม่านตาที่ไม่คลาย
- และ ระบบประสาทที่แปรปรวน ทำให้มีความคิดผุดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
อุปาทาน = ตัวรู้ + การสืบต่อ
นั่นก็เหมือนกันกับ การรับรู้ของขันธ์5 บวกกับ ขบวนการปฏิจสมุปบาท คือ ไม่ตัดการสืบต่อ นั่นเอง
สัมมาญาน คือ ปัญญาจิตผุดขึ้น และ กายให้การยอมรับ ในทันที โดยไม่ต้องไตร่ตรอง
ความสันโดษ ประกอบจาก ความอิ่มใจในบางสิ่งบางอย่าง ที่สุดแห่งความอิ่มใจ คือการได้สัมผัส ที่สุดแห่งความจริง หรือ ความจริงปลายทาง ที่ไม่มีอุปาทาน เกิดขึ้นอีกแล้ว
แรงบันดาลใจ อันมีโครงสร้างมาจาก อิทธิบาท4 เป็นตัวผลักดันหลังจากประสบที่สุดแห่งทุกข์ เพื่อนำไปหา ความจริงที่แท้จริงเหนืออื่นใด หรือ ที่สุดแห่งความจริง
โดยหยุดกลไกของ ตรรกธรรม ที่เกิดขึ้นทั้งที่ กาย และ จิตใจ (ตรรกธรรม คือ กลไกที่เงื่อนไขผุดขึ้น และ ยึดติด/สืบต่อเงื่อนไข นั้น เป็น สมมุติ
ทุกข์ ระดม มาจากสิ่งเร่งเร้าภายนอก และ สิ่งอัดอั้นคับแค้นอึดอัดภายใน มีเหมือนกระแสลมซัดอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด