ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายย่อมยังธรรมทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อจากเตภูมิกวัฏอันมิใช่ฝั่งไปถึงฝั่ง คือ นิพพานด้วยประการดังนี้แล ฯ
เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติภายใต้ความแปรปรวนไปสู่การจบสิ้นสภาพ. - ขอจง มีลมหายใจแม้แผ่วเบา ได้สุดขั้ว กันเถิด.
ศึล - อินทรี - อาหาร - ชำระจิตให้ตื่นอยู่เสมอ
อำพล จงสิทธิผล
Ampol Chongsitthiphol
เสียสละ ... อดทน ... รับวิบากผู้อื่นไว้บ้าง ... ... แต่มันเหนื่อยนะ เหนื่อยสุดสุดเลยมึง
คำสั่งสอนจาก... พระอาจารย์ใหญ่
เมื่อเข้าสู่ ความนิ่งอันประเสริฐ แล้ว อินทรีย์สงบ จิตระงับ (การสลัดคืน จะเกิดตามมา) จะมีสภาพ ลำดับนี้
  • วิสุทธิ คือ สภาพใจสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ผุดผ่อง บรรเจิด ภายใน (และมีอนิสงค์ ต่อกายภายนอกในภายหลัง)
  • วิมุตติ คือ สภาพใจเป็นอิสระจาก สภาพแวดล้อมที่เจือด้วยภพ (ส่วนผสมโมหะ โทสะ โลภะ)

    มีนิพพาน เป็นที่สุด หรือ ปลายทางแห่งทุกข์ เส้นทางจิตจบลงแค่นี้ ด้วย ญานทัสสนะอันหมดจดเกลี้ยงเกลา

  • นิพพาน การอยู่ในสภาพไม่มีการก่อเกิด
    ( อันมาจาก ไม่คิดต่อ ปรุงแต่งต่อ เพราะตัวทำให้คิดต่อปรุงแต่งต่อคือ ตัวโมหะ โทสะ โลภะ)

กัลญานมิตรที่ดี ... ควรเป็นผู้มีวาจาไพเราะ เป็นที่ปรึกษาที่ดี และ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา๕ วิโมกข์๘ และ อภิญญา๖ พึงทำให้แจ้งชัด
http://sontanathum.chatango.com/



สนธนาธรรม

สภาพเดิม (ความเป็นปกติ ไม่ถูกกระตุ้น หรือ กระตุ้น) กับ สภาพไม่เป็นปกติ (ถูกกระตุ้น และกระตุ้นในตัวเอง)
กิเลส ก็คือ ความไม่ปกติ หรือ สิ่งก่อเกิดความไม่ปกติ นั่นเอง
เพราะ เหตุปัจจัย จึงทำให้มีการก่อเกิด การรวมกันชั่วคราวของสภาวะ ดิน น้ำ ไฟ ลม
เพราะ อารมภ์และมานะ ทำให้มี ตัณหาและอุปาทาน เนื่องมาจากความไม่ปกติ ความไม่เป็นสภาพเดิม
สภาพเดิมนี้เอง คือ สภาวะอนัตตา ที่จะทำให้เห็นการไม่เกาะเกี่ยว กับ สภาวะต่างๆนานา ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา หรือ เห็นความไร้ประโยชน์ ที่จะ คงไว้สิ่งที่จะไปเกาะเกี่ยวเข้ามาภายใน ให้เกิดความไม่เป็นปกติ

ความไม่บรืบูรณ์ ทำให้มีบางสิ่งคอยบังตา เป็นอุปสรรคในการมองเห็นความจริง สภาพแวดล้อมที่เป็นจริง

ทุกข์ก็ไม่มี สุขก็ไม่มี มีแต่ความเป็นไป

กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ
จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย

วิหารธรรม ของเราคือ ความนิ่งอันประเสริฐดังภูผาหิน สิ่งที่ผุดขึ้นมาจะมาพร้อมกับปัจจัยปรุงแต่ง (โมหะ โทสะ โลภะ) มันคือภพ คือที่บรรจุส่วนผสมของปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งภพนี้คืออนัตตา ไม่ได้เป็นอะไรของใครเลย เป็นเพียงความว่างเปล่าที่บรรจุปัจจัยปรุงแต่งปรากฏขึ่้้นมาลอย ไม่มีตัวตนแล้วสลายไป

การถอนรากถอนโคน ไล่จาก ถพ ไปหา อุปาทาน ตัณหา ในลักษณะปัจจัยปรุงแต่งเช่นเดียวกัน รื้อย้อนไปถึง อายตะนะ อวิชชาเลย

ความเสียสละ แต่วัยเด็ก ทำให้เราลืม สภาวะนี้ไปนานมาก เลย

การแยกออกโดยสิ้นเชิง แห่ง เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ คือ แยกออกทั้ง จิตและปัญญา อย่างไม่แคลงใจ ความหยาบละเอียดของแต่ละคน ในการแยกออกได้ ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน หรือ แบบเดียวกัน ขึ้นกับ สภาพการคลายใจแบบปลดวาง และความมั่นคงของสติ ที่ทรงตรงนั้นได้ หรือ ที่เรียกว่า กำลังของสติเป็นอัตโนมัติ หรือ เป็นความเคยชิน ตลอดเวลาหรือไม่ ถ้าเป็นตลอดเวลาแสดงว่าใจเปลี่ยนสภาพแบบสมบูรณ์แล้ว และนี่คือ สภาพใจอันมีวิหารธรรมแห่งการแยกออกโดยสิ้นเชิง โดยการตัดรากถอนโคน

ไม่เอามัน ไม่ถือความเป็นเจ้าของในตัวมัน

ดจดอุปาทานหมดกำลังตัณหาจากโยคะอันยอดเยี่ยม

เมื่อไร้การก่อเกิดแล้ว ก็เปรียบเหมือน ต้นตาลยอดด้วนไม่มีผลหรือลูกที่จะสืบสานต่อไป ก็เหมือน ร่างกายที่มีแต่ลำตัว ความคิดและอารมภ์นั้นไม่นำพาการสืบต่อ อีกต่อไป

ทั้งหมด คือ สภาพลมหายใจ และ หัวใจ .... อย่างอื่นไม่เกี่ยวเลย ... สองตัวนี้ จะดับทุกอย่าง

รู้จักศาสดา เข้าใจคำสอน ดำรงอยู่ในคำสอน

ทุกสิ่งที่ผุดขึ้นมาในใจ ในความคิด ในความรู้สึก ในอารมภ์ เป็นการผสมของ โมหะ โทสะ โลภะ ทั้งสิ้น ให้มุ่งมองในรูปแบบเช่นนั้น แล้วปัดทิ้ง สลายออก

เมื่อเข้าสู่ ความนิ่งอันประเสริฐ แล้ว อินทรีย์สงบ จิตระงับ (การสลัดคืน จะเกิดตามมา) จะมีสภาพ ลำดับนี้
วิสุทธิ คือ สภาพ สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ผุดผ่อง บรรเจิด ภายใน (และมีอนิสงค์ ต่อกายภายนอกในภายหลัง)
วิมุตติ คือ สภาพเป็นอิสระจาก สภาพแวดล้อมที่เจือด้วยภพ (ส่วนผสมโมหะ โทสะ โลภะ)
มีนิพพาน เป็นที่สุด
นิพพาน คือ การอยู่ในสภาพไม่มีการก่อเกิด ( อันมาจาก ไม่คิดต่อ ปรุงแต่งต่อ เพราะตัวทำให้คิดต่อปรุงแต่งต่อคือ ตัวโมหะ โทสะ โลภะ)

อันเหล่าสัตว์มนุษย์นี้ น่าเกลียดโสมมยิ่งนัก เหมือนก้อนขี้ที่พอกหุ้มจิตไว้ คอยที่จะสะสมพิษให้ร้ายทั้งตนเอง และ ผู้อื่น สรรพสิ่งอื่นรอบข้าง

เด็กที่ยังหลงไหลในของเล่นชิ้นโปรด เมามัว ไม่ลืมตา จมอยู่ในน้ำ เหตุเพราะ ยังไม่รู้จักความสงบ ที่จะนำพาไปให้เห็น ฉุดขึ้นมาให้เหนือน้ำ เพื่อให้เห็น ออกห่าง การลุ่มหลงมัวเมา โลภโมหโทสัน
ตัณหา อุปาทาน ภพ เป็นสิ่งเดียวกับ รู้สึก นึกคิด อารมภ์
การนึกถึง คิดถึง สิ่งใดๆ ก็เป็น ภพ ไปแล้ว ผสมเจือด้วย โมหะโทสะโลภะเป็นรากฐาน รวมตัวกันก่อเกิดเป็น นิวรณ์ บรรจุอยู่ในภพ

การตัดการก่อเกิด ต้องฝึกด้วยการอยู่ในนิพพาน นานๆ เพื่อทำให้มีกำลัง เมื่อมีกำลังจะมีความคมชัดในการเห็นจริงอย่างไม่เคลือบแคลง จึงจะทำให้ฝังเข้าสู่จิตใต้สำนึก ... กำลังตรงนี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทาน นี้ในเวลานั้นว่า พราหมณ์ใดมีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว ไม่มักตวาดผู้อื่นว่า หึ หึ ไม่มีกิเลสดุจน้ำฝาดมีตนอันสำรวมแล้ว ถึงที่สุด แห่งเวท อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ไม่มีกิเลสเครื่องฟูขึ้น ในโลกไหนๆ พราหมณ์นั้นควรกล่าววาทะว่าเป็นพราหมณ์ โดยชอบธรรม ฯ

ความคิด เปรียบเหมือน การถูกกระตุ้นของความดันน้ำ ที่้ต้องไหลไปตามธรรมชาติ เหมือนกระแสอนุภาคในสมองที่ต้องเคลื่อนไป ตามผัสสะต่างๆนานา ที่รวมถึง ผัสสัทางด้าน คลื่นสนามพลัง อิออน กระแสอนภาคในอวกาศต่างๆ หรือ มิติต่างๆ ที่มากระทบเข้าโดยบังเอิญ

กระแสความคิด เกิดจาก

กระแสความคิดเกิดจาก ผัสสะตามธรรมชาติ หรือ การกระตุ้นภายใน

อวิชชา ก่อให้เกิด สังขาร ก่อให้เกิด วิญญาน
อายตะนะ -----> กระแสความคิด --\
เวทนา -----> กระแสความคิด ---|----> วิญญาน --> นามรูป -- โสฬารตะนะ -- ผัสสะ -- เวทนา -- ตัณหา
สัญญา -----> กระแสความคิด --/

ฌาน3 ประกายจิตแตกตัวที่อก เป็นปิติก่อนดับฌาน 2

กระแสความคิด เปรียบเหมือน อนุภาค ในสมอง ที่ถูก ธรรมชาติพัดกระทบ อยู่ตลอดเวลา

พุทธะ คือ ความสว่างในความจริง เจิดจ้าแล้วในความจริง แจ่มแจ้งในความจริง
ความจริง คือ ความเป็นไปตามธรรมชาติ ในด้านของความเป็น สัตว์มนุษย์ ปัญญามนุษย์ ในการถูกครอบงำ ในการจมอยู่กับ สิ่งล่อใจภายใน (โมหะโทสะโลภะ) และ การมองภาพรวมเห็นการครอบงำทั้งหมด


นินจา

พระพุทธเจ้า เห็น ความ อนาถ ของผู้คน ที่ เจ็บ ป่วย ตาย โศกเศร้า จึงช่วย หาวิธี พ้นทุกข์ตรงนั้น ให้ ด้วย สัมมาทิฏฐิ

และ การทนทุกข์ทรมานตรงนั้น รวมถึง ความทุกข์ทรมาน ก่อนตาย

อิทธิพล 3 อย่าง
สนามแม่เหล็ก
สนามไฟฟ้า
สนามแรงโน้มถ่วง
มีอิทธิพล ต่อ อนุภาคอวัยวะภายในร่างกาย และ มีอิทธิพลต่อ จิต

สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
ภพไม่เที่ยง ภพนั้นเป็นทุกข์ ภพเป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
อุปทานไม่เที่ยง อุปทานนั้นเป็นทุกข์ อุปทานเป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
ตัณหาไม่เที่ยง ตัณหานั้นเป็นทุกข์ ตัณหาเป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
เวทนาไม่เที่ยง เวทนานั้นเป็นทุกข์ เวทนาเป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
ผัสสะไม่เที่ยง ผัสสะนั้นเป็นทุกข์ ผัสสะเป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
หัวใจเต้นไม่เที่ยง หัวใจเต้นนั้นเป็นทุกข์ หัวใจเต้นเป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
อายตนะไม่เที่ยง อายตนะนั้นเป็นทุกข์ อายตนะเป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
อารมภ์ไม่เที่ยง อารมภ์นั้นเป็นทุกข์ อารมภ์เป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
กระแสความคิดไม่เที่ยง กระแสความคิดนั้นเป็นทุกข์ กระแสความคิดเป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
อวิชขาไม่เที่ยง อวิชขานั้นเป็นทุกข์ อวิชขาเป็นทุกข์ ย่อมแปรปรวนไป เป็นปกติธรรมดา
เที่ยง หรือ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ประเด็นค้นหา การไม่ยึดติด คือ สติที่ต้องกำหนดรู้

อุปทาน คือ เส้นเกาะเกี่ยว โยงใย ดุจเช่น อิเลคตรอนโคจร รอบ นิวเคลียส
การทรงตัว คงตัวอยู่ได้ เพราะต้องมีแรงเหวี่ยง อันก็คือ ตัณหา

การป้องกันการถูกล้างสมอง คือ งดใช้ตรรกะทางสมอง ให้ใช้ความรู้สึก และ อารมภ์แทน

ไม่แล่นไป = เป็นไปอย่างอัตโนมัติ เหมือนเรือใบมีลมพัดพาไปเอง
ไม่เลื่อมใส = ปราศจาก ปฏิฆะ

ความสมบูรณ์ ประกอบด้วย ญานความเบื่อหน่ายในวัฏฏสงสาร และ การหยุดการสืบต่อของกระแสความคิด

ความสงบ อบอุ่น ปลอดภัีย = ในครรภ์ หมาหลบใช้ท้องรถ

สิ่งที่กระทำมา และกระทำอยู่นั้น ถูกต้องแล้ว ทำต่อไป
คงไว้ ซึ่งจิตพรหมจรรย์ แยกออก ซึ่งความสะอาดบริสุทธิ์ และ มลทิน อย่างแจ่มแจ้งเ่ด่นชัด
ขันธ์5 โดยความเป็นไตรลักษณ์ ไม่ยึดถือ ปล่อยวาง

โมหะ(กาม) โทสะ(พยาบาท) โลภะ(การเบียดเบียน)

อาศัยความสงัด อาศัยความคลาย
กำหนัด อาศัยความดับอันน้อมไปเพื่อความสละลง

ผู้ที่อุดมพร้อมด้วยศึล จึงสามารถรวมจิตลงเป็นอารมภ์เดียว มีใจผ่องแผ้วสะอาดบริสุทธิ์ เจือด้วยความจืดคอยหล่อเลี้ยง

พรหมจรรย์หยั่งลงในนิพพาน



นิมิตอัน มองภพในอดีต ภพในอนาคต เป็นสิ่งลวงๆ ไร้ตัวตน เป็นแค่ภาพมายา ภพปัจจุบันอันว่างๆสะอาดๆคือ นิโรธคามินีปฏิปทา

คำว่า อนัตตา ไม่ใช่อนัตตาที่สิงภายนอก แต่เป็นการอนัตตา ที่จิตภายในเฉพาะจิตเท่านั้น คือ ภพต่างๆที่จิตไปจับ ภพเหล่านั้นเป็นที่บันทึกสภาวะะเปลี่ยนแปลงดินน้ำลมไฟความแปรปรวนตามสภาพเหตุการณ์ในอดีตต่างๆ มีอยู่แต่ไม่ต้องไปยึดถือแค่รู้ อาการเหล่านี้มันก็คือวิญญานนั่นเอง สิ่งเดียวกัน

สติ พอเพียง(เพียงแค่นั้น) อิสระจากพันธนการจากกายทั้งปวง

Michael Lucarelli

ธาตุนิพพาน เป็นได้ทั้งสภาพ อัตตา และ อนัตตา เพราะเป็นสภาพอิสระปราศจากการยึด

จิต คือความสนใจ ความสนใจก็คือ จิต, ชันธ์ไม่เกิด จิตไม่เกิด, ไม่สนใจ - ขันธ์ก็ไม่เกิด

จิตอยู่เหนืออิทธิพลของขันธ์ และ จิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของขันธ์

สภาวะ การยกออก ปัดเป่าออก หลุดออก ของของหนัก ของขันธ์ คืออาการเดียวกัน

สงบนิ่ง
ไตรลักษณ์
อริยสัจ4

ผัสสะ - (เวทนา สัญญา สังขาร)
จิตมีอารมภ์เดียว(แรงบันดาลใจ สิ่งบันดาลใจ ศรัทธา สิ่งเดียวกัน)

นิพพาน มีลักษณะ อิสระทางใจ อิ่มเพียงพอแล้วทางใจ กับทุกสรรพสิ่ง
จากการที่ได้เห็นสภาพความจริงของหลักเกิด-ดำรงอยู่-ดับของสรรพสิ่งทั้งหมด ปราศจากการปรุงแต่ง
แยกออกแล้ว จากตัวตน(ยึดความอยากตัวเองเป็นหลัก) จากขันธ์ห้า

ธรรมชาติของจิต คือ สนองต่อผัสสะ และ เข้าหาความสงบ
หรือจะแบ่งง่ายๆ คือ พุ่งหาความสนใจ และ ตัวมันเองต้องการความสงบ

ความคะนอง เปรียบเหมือน ขวดน้ำอัดลมที่เขย่าอยู่ตลอด
ความวิตก เปรียบเหมือนการกดน้ำที่อยู่ในขวดน้ำอัดลม

ความเบื่อหน่าย เป็นไป เพราะ อิ่มแล้ว พอแล้ว ไม่เอาแล้ว เต็มที่กับสิ่งนั้นแล้ว
วิราคะ คือ ขจัดสิ่งนั้น และ เหตุปัจจัยสิ่งนั้น ออกไป ไม่หันกลับมาสนใจหยิบใส่อีก

มานะ = ลำพอง คะนอง ดื้อรั้น

มานะ - ละอายใจ เช่น การยังคงไหว้พระที่ยังมีอวิชชาเยอะ จน พระนั้นเกิดละอายใจในจีวรที่ตนเองสวมใส่อยู่ จนกลับความคิด
ปฏิจสมุปบาท ด้วย อวิชชา กระตุ้น การนึกคิด(สัญญา) กระตุ้นอารมภ์(วิญญาน)
ด้วยผัสสะ รู้สึก(เวทนา) นึกคิด(สัญญา และ สังขาร) อารมภ์(วิญญาน)
จึงเป็น จิตดูจิต ความสนใจในจิตอีกตัวหนึ่ง จิตคือความสนใจ

เส้นทางแห่งศรัทธา ในความบริสุทธิ์ และ ความจริงแห่งสรรพสิ่ง อันปราศจาก อคติใดๆ
ศรัทธา > ก่อเกิด พรหมจรรย์แห่งความสะอาดบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์ > ก่อเกิด การรวมจิตมีอารมภ์เดียว เหนือความมีมลทินทั้งปวง
อารมภ์เดียว > ก่อเกิด เจโตญานวิมุตติ และ นำไปสู่ดวงตาธรรม เห็นด้วย ปัญญาญานวิมุตติ
(ด้วยเส้นทางแห่ง ศรัทธา ... อริยะสัจ 4 เป็นส่วนหนึ่ง ใน ญาน ทางด้านโลกกุตตระ ที่ไม่ต้องพิจารณาด้วยปัญญาวิปัสนา แต่เกิดด้วย สภาพของมันเอง และต้องอาศัยการปล่อยวาง ในวิจิกิจฉาต่างๆ ในทันที หรือ ในที่สุด)

ลมหายใจอันละเอียด จะผ่อนคลาย ทุกสิ่ง สู่ความสงบ

ปัญญาน้อย มายา ครอบงำ

ความหลงระเริง ในอำนาจของ ตัณหา ความกระหายอยาก ความทะเยอทะยาน ความคะนอง ในลาภยศสรรเสริญ ทำให้ ลืมไป พร่องไป และ ประมาทต่อการทรงไว้ซึ่งสติ ไม่มีความหนักแน่นแห่งสติ เผลอเลอ

จงตื่น จากความ มัวเมา (โมหะ)
จงตื่น จากความหลับไหล
จงลุกออกจาก ความเผ่าร้อนแผดเผา (โทสะ)

สลด ในเรื่องราวของสัตว์ การใช้ชีวิตแบบสัตว์ การมีอารมภ์แบบสัตว์
อันได้แก่ การแย่งกัน การมีเล่ห์อุบายเพื่อสนองอุปาทาน

สลด ในเรื่องราวของสัตว์ การใช้ชีวิตแบบสัตว์ การมีอารมภ์แบบสัตว์
อันได้แก่ การแย่งกัน การมีเล่ห์อุบายเพื่อสนองอุปาทาน
ชีวิตสัตว์ดำเนินไปด้วย อวิชชา ด้วยความเขลา
ออกจากวงจรของสัตว์

จงอยู่บนเส้นทางแห่งการประสบความสำเร็จ (มรรคผล)
ด้วยการชำระล้างจิตใจให้สะอาดผ่องใสอยู่เสมอ

เชื่อมั่น ความจริง ปัดสิ่งหลอกลวง

อยู่อย่างองอาจ เป็น มานะ แต่ถ้า องอาจด้วย รักและไมตรี เป็นพรหมวิหาร 4

มานะนี้ หลักสำคัญ อยู่ที่ตัวอุปาทาน ต้องเห็นสายใยเชื่อมโยง แล้ว ไม่ยึดติด

จงเดินบน เส้นทางแห่งความสำเร็จ แห่งอิสระ

ระลึกภาพ แล้ว หัวใจเบิกบาน แช่มชื่นก็ เป็นการรวมจิต

ฟังชั่น จริงๆ ของสมองนั้น ต้องการที่จะ ตอบสนองสัญญานกระตุ้นจากอวับวะต่างๆที่เรียกร้องเข้ามา
การหยุด สิ่งเรียกร้องต่างๆนานาจาก อวัยวะ เพื่อดูว่า สมองเองภาวะไม่มีสิ่งเรียกร้องภายนอก สมองและระบบประสาท จะทำอะไร

ในโลกของพระเจ้านั้น ก็เทียบเคียงได้กับ ระบบประสาทของเราเอง ว่าจิตประธานคืออะไร
พระเจ้าก็เช่นเดียวกัน ในระบบจักรวาล มีการสื่อสารกันและกัน และมีจิตประธาน เช่นกัน
ถ้าเราเข้าใจ จิตประธานของตัวเราเองได้ เราก็จะเข้าใจการติดต่อสื่อสาร กับพระเจ้าได้

ทุกข์ คือ ความไม่สงบ สภาพจิตจะกระสับกระส่าย เรรวนปรวนแปร
ทุกข์ กับ อุปาทาน คือ สิ่งๆ เดียวกัน

การเข้าฌาน ควร รอให้ อินทรีย์สงบ จิตระงับเสียก่อน
ดั่งเช่น การจะเข้าสู่ที่สะอาดใดๆ ควรชำระล้าง อาบน้ำให้สะอาดเย็นสบายเสียก่อน
ไม่งั้นถ้าเข้าฌาน ชณะขุ่นมัว สิ่งที่เข้าไปประสบก็จะขุ่นมัว และสิ่งที่ได้มาก็จะขุ่นมัว เช่นกัน

ใจคอไม่ดี
เพราะ ความกังวล มลทิน ทำให้ ระบบหายใจหัวใจผิดปกติ
มีผลกับ ลมหายใจ หัวใจ เลือด และ กล้ามเนื้อคอ โดยเฉพาะลูกกระเดือก

ให้ วิปปฏิสารภายในหมดลง หยุดลง สงบลง
ให้ ความคิด ไม่ผุดอะไรขึ้นมา ไม่ให้มีการทำงานของตรรกธรรม (วงจรเงื่อนไข)
กล้ามเนื้อใบหน้า ช่องหายใจที่คอหอย และ หัวใจ สงบ

อดีต คือ กองสัญญา ขยะ ที่อยู่ข้างหลัง
อนาคต คือ กองการปรุงแต่ง ขยะ ที่อยู่ข้างหน้า
ปัจจุบัน คือความจริง ที่มีเพียง ลมหายใจเข้าออก เท่านั้นที่เป็นจริง และ การสงบลงของเมตาโบลิซึ่ม (วิปปฏิสาร) กับ การหยุดนึกคิด

มรรค 8 ย่อเหลือ 5
ความคิดบริสุทธิ์ วาจาบริสุทธิ์ การกระทำบริสุทธิ์ ด้วย สติ และ สมาธิ
หรือ
คิดพรหมจรรย์ วาจาพรหมจรรย์ แสดงออกพรหมจรรย์ ด้วย สติ และ สมาธิ
หรือ
จากใจ จากวาจา จากพฤติกรรม ด้วย สติพรหมจรรย์ และ สมาธิพรหมจรรย์

มาร คือ ตัวมานะ และปัญญา ... ที่มีกลไก ความคิด กระหายใคร่แสวงใคร่สนอง อุปาทาน เป็นเครื่องมือ

การควบคุม สมองส่วนการทรงตัว
ให้นึกถึง การหล่นลงอุโมงค์แบบหงายหลัง ขึ้นจากอุโมงค์แบบคว่ำหน้า
หล่นลงแบบคว่ำหน้า ขึ้นแบบหงายหน้า
แนวขนาน ซ้ายขวา
เป็นต้น

ที่สุดแห่งทุกข์
พิจารณา โดย ตอนจบของทุกข์แต่ละอย่าง มีอาการอย่างไร รู้สึกอย่างไร นึกคิดอย่างไร และ อารมภ์อย่างไร ก่อน หรือ ขณะ ที่ ทุกข์ตัวใหม่จะดำเนินไป
มุ่งเข้าหา อารมภ์สภาพ ตอนปลาย ของทุกข์นั้นๆ ให้ถ่องแท้

1. กดทับทุกข์เดิมไว้
2. ส่งจิตออกนอก
3. ยึดมั่นในทิฏฐิของตนเอง
4. จมอยู่กับสัญญาเดิม
5. มายาตรงข้ามเพื่อซ่อนเร้น
6. เพ้อฝันจินตนาการ
7. แยกตัวปิดบังตนเอง
8. ยึดสิ่งทดแทนใหม่
9. สำคัญตนเองว่าเป็นอีกคน
กลไกในการป้องกันตัวเป็นวิธีการที่บุคคลใช้ในการปรับตัว
เมื่อประสบปัญหาความคับข้องใจ การใช้กลไกป้องกันตัวจะช่วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา
เพราะจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดความไม่สบายใจ ทำให้คิดหาเหตุผลหรือแก้ไขปัญหาได้

อุปาทาน ใน ขันธ์ 5 นั้น คือ ทุกข์
1 ทุกข์ คือ อุปาทาน
2 ต้นเหตุ คือ ตัณหา
3 นิโรธ คือ ทำให้ ตัณหา และ อุปาทาน หายไป โดยการ สละ ละ ปล่อย วาง ไม่พัวพัน
4 ทำ นิโรธ อยู่เสมอ

เหตุที่ อยู่ดีๆ อารมภ์หม่นหมอง หาสาเหตุไม่ได้ เพราะ ขาดสติ
สติ ใน โพธิปักขิยติธรรม อันนำ ความเปรมปรี มาสู่ กาย และ จิต นั่นเอง

1. อิทธิบาท 4 คือ แรงบันดาลใจ
2. พละ 5 คือ กำลังใจ
3. อินทรีย์ 5 คือ ความพร้อมแห่งกายทุกอวัยวะ เพื่อทรงอยู่ได้ในความสงบนิ่ง
4. สัมมัปปธาน 4 คือ สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อ กาย และ จิตใจ สิ่งนั้นพึงทำ
5. สติปัฏฐาน 4 คือ มีสติต่อปัจจุบันใน กาย เวทนา จิตตา และ ธรรมารมภ์
.... อันไร้ซึ่งอุปาทาน
6. โพชฌงค์ 7 คือ สภาวะแห่งความบริสุทธิ์ และ ความเบิกบาน
7. มรรคมีองค์ 8 และ มรรค10 คือ ความบริสุทธิ ความสงบ ความรู้ในสิ่งประสบ
....เกิดเป็น สัมมาญาน และ สัมมาวิมุตติ โดยมี เจโต และ ปัญญา เสมอกัน
....หากไม่เสมอกัน แสดงว่า ยังคงมีอุปาทาน เหลืออยู่

เหตุที่ อยู่ดีๆ อารมภ์หม่นหมอง หาสาเหตุไม่ได้ เพราะ ขาดสติ
สติ ใน โพธิปักขิยติธรรม อันนำ ความเปรมปรี มาสู่ กาย และ จิต นั่นเอง
และ อากาศบริสุทธิ์ ที่มี ออกซิเจน ดี

ปฏิจสมุปบาท
อริยสัจ 4
โพธิปักขิยติธรรม
สปายาส แห่ง สถานที่ อากาศ อุณหภูมิ
4 สิ่งนี้ เอื้อเฟื้อแก่ ธรรม อัน น่ารื่นรมย์ และน่าชื่นชม

บททดสอบ สุดท้าย
การเจริญสัญญา10 หาที่ วิเวก และ สงัด ที่สุด
ความกลัวขีดสุดจะปรากฏออกมา เวลานั้นแล จะพิสูจน์ว่า ศรัทธาใด ที่จะทำให้เรา ก้าวผ่านไปได้ และ ความศรัทธา ใน พุทธะ บริสุทธิ์เพียงใด

จิต คือ ปฏิกริยาของสมอง ณ 1 ฟังชั่น
ไม่ว่า ฟังชั่นใดๆ ในสมอง คือสิ่งๆ เดียวกันหมด แต่แยกแปลความหมาย

สิ่งจูงใจ (ธรรมของพระพุทธเจ้า) สร้างแรงบันดาลใจ (อิทธิบาท4) เกิดกำลังใจ (ศรัทธา - พละ5) ในเบื้องต้น

เส้นสาย กราฟ เป็น จิตวิทยา จูงใจสะกดใจ โดยการป้อนข้อมูลบางอย่างเข้าไปในสมอง ของผู้ดู เพื่อชี้นำ บางอย่าง แล้วให้ยึดติด
การเทรด ด้วยหุ่นยนต์ ดีที่สุด

เมื่อลมหายใจ คล่องสบาย ตลอดแนวตรงตั้งแต่อกถึงท้อง จิตได้เริ่มรวมเป็นอารมภ์เดียวแล้ว

กายนี้ไม่ใช่ของเรา เพราะ เขาทำงาน ทำปฏิกริยาภายในของเขา
เรา แค่เพียงรับรู้ การทำงาน และ ปฏิกริยา ที่เกิดขึ้น

เพราะ ปมด้อย จึง เก็บกด
เพราะ เก็บกด จึง ป้องกัน (กลไกทางจิต - กลวิธาน9)
เพราะ ป้องกัน จึง แสวงหา
เพราะแสวงหา จึง เป็นอาหารต่อระบบป้องกัน
เพราะอาหาร จึง เป็นปฏิกูล

อุปทาน คือ อะไร
การไปจดจ่อ ให้มี ให้เกิด
การไปจดจ่อ ให้ไม่ม่ ให้ไม่เกิด
ให้ จดจ่อ อยู่กับสภาพธรรมชาติของสรรพสิ่ง (เกิดขึ้นของมันเอง แปรปรวนเปลี่ยนแปลงของมันเอง และจบสิ้นสภาพของมันเอง)

อทุกฺขมสุขํ
อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ
จตุตฺถํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหาสึ ฯ
สัจธรรมแห่งชีวิต

ทำนายชื่อสกุล



รายการน่าสนใจ
ค้นหาคำในพระไตรปิฏก
จิตบรรลุนิพพาน
(สมเด็จพระญาณสังวร)

wunjun - ood
ibuddha - wix
บาลีเทียบเคียง
จิตวิทยา
ญานสังวรธรรม
แปลบาลี
ญาน กถา

sitePage41 = Home-from-Chatbox


    •ข่มไว้ ด้วยฌาน4
    •ด้วยการชำแรก ซึ่งวัฏฏสงสาร
    •ด้วยการตัดขาดภายใน โดยโลกุตตะระมรรค
    •ด้วยสำราญความสงบ ปฏิปัดสัทธิ
    •ด้วยการสลัดออก ดับหัวใจลมหายใจ
    ไม่ประมาท กับปัจจุบัน
    ไม่ประมาท ซึ่งความตาย วินาทีนั้น
    ดำรงความจางคลาย กับปัจจุบัน

    มีแรงบันดาลใจแรงกล้า
    จึงเกิด มุมานะ--ตั้งใจมั่น --> รวมจิตได้

    หาลึกเข้าไปในจิต ซึ่งภาระที่ไม่ยอมวาง
    เมื่อวางลงเสียได้เมื่อไหร่ อิสระทันที

    การทำสมาธิแบ่งเป็น 2 ด้าน

  1. ทางกาย
    คือ กาย+เวทนา
    โดยทำให้ ลมหายใจแผ่วเบา และ หัวใจเต้นเรียบ เป็นการบำรุงร่างกาย และจิตใจไปในตัว และให้มีท้องพล่อง งดอาหารหลังเที่ยง นั่งนิ่งจนมีสภาพถูกล็อคแข็งแกร่งแต่ไม่เกร็ง มีความมั่นคง

  2. ทางใจ
    คือ จิตตา+ธรรมมา
    วิธีจะเข้าถึงโดยการ ตัดกายทิ้ง???
    คือการพยายามระลึกถึงปิติทั่วร่างกาย แล้วเข้าสู่อารมภ์ใดอารมภ์เดียวแห่งปฏิุภาคนิมิต

    การเข้าสู่นิพพาน
    ด้วยการตัดลูกโซ่แห่งการก่อเกิดที่ ตัณหา อุปาทาน ไม่ให้เชื่อมเกิด ภพ ได้ คือ หยุดคิด หลังจากค้นพบแล้วว่า การก่อเกิดทุกชนิดเป็นทุกข์เปล่าประโยชน์

สุขเพราะความสงัด,
สุขเพราะไม่เบียดเบียน,
สุขเพราะปราศจากราคะ ก้าวล่วงกามเสียได้,
สุดอย่างยอด คือการนำความถือตัวออกเสียได้.

พระไตรปิฏก4.ปฐมภาณวาร

อุปทานมีอยู่ แต่ไม่ถือตาม
ถือตามมีอยู่ แต่มีสติไม่ถือ

เพราะวิราคะ อวิชชาจึงดับ
--ปราศจาก โมหะ โทสะ โลภะ--
-คลายจาก ความอยากกระหายอันกดดัน-
เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
--จึงหยุดคิด ไม่คิด--
เพราะสังขารดับ วิญญานจึงดับ
--ไม่ก่อเกิด กายใจสงบ--
เพราะวิญญานดับ นามรูปจึงดับ
--หัวใจจึงราบเรียบเสมอดับ--
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
--หัวใจไม่กระเทือน--
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
--หยุดการกระตุ้นอวัยวะ--
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
--ไม่ถูกกระตุ้น ไม่รู้สึก--
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

เพราะเป็นปัจจัยจึงมี เพราะปัจจัยดับจึงดับ

๑. มีสิ่งหวงแหน (เช่น สตรี ) หรือไม่
๒. มีจิตผูกเวรหรือไม่
๓. มีจิตเบียดเบียนหรือไม่
๔. มีจิตเศร้าหมอง ( ด้วยกิเลส ) หรือไม่
๕. ทำจิตเป็นให้ไปในอำนาจได้หรือไม่

    เครื่องเกาะจิตอันเศร้าหมอง
  1. วิจิกิจฉา
  2. อะมะนะสิการ
  3. ถีนะมิทธะ
  4. ความหวาดเสียว
  5. ความตื่นเต้น
  6. ความชั่วหยาบ
  7. ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป
  8. ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
  9. ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้น
  10. ความสำคัญสภาวะต่างกัน
  11. ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป

     

    withhold
    ระงับ, ยั้ง, ดอง, ไม่ยอมให้, ยั้งมือ

    settle
    ชำระ, ระงับ, ตกลง, กำหนด, ยุบ, เข้าที่

    quell
    ระงับ, ปราบ, ทำให้สงบ, ดับไฟ, ระงับอารมณ์ stay
    คอย, พักอยู่, หยุดอยู่, อาศัยอยู่, ยืนหยัด, ระงับ

    deaden
    ระงับ, ทำให้ชา, ทำให้มึน, ทำให้ไม่รู้สึก, ทำให้หย่อนลง

    forbear
    อดทน, หักห้าม, อดกลั้น, ละเว้น, ระงับ, ข่มใจ refrain
    ละเว้น, งด, ระงับ, ว่างเว้น, กลั้น, ข่มจิต

    mortify
    ระงับ, ฉีกหน้า, ทรมานร่างกาย, ทำให้บัดสี, ทำให้เสียใจ

    propitiate
    เอาใจ, ระงับ, ประจบประแจง, ป้อยอ, ปลอบ, บรรเทา

    abate
    บรรเทา, รา, ระงับ, รำงับ, ค่อยยังชั่ว, เบาบาง

    allay
    บรรเทา, ระงับ, ทำให้สงบ, ทำให้น้อยลง, คลายกังวล

    alleviate
    บรรเทา, ระงับ, แบ่งเบา, ทำให้น้อยลง, คลายใจ, ค่อยยังชั่ว

    assuage
    ระงับ, ทำให้บรรเทา, ทำให้ผ่อนคลาย, ค่อยยังชั่ว, น่าพึงพอใจ

    calm
    ใจเย็น, ระงับ, เงียบสงบ, ไม่ตื่นเต้น, ไม่มีลม, หงิมๆ