
換筋功 คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นของวัดเส้าหลิน
----------------------------------------
"อย่ากระทำเมื่อ หิวจัด โกรธจัด เครียดจัด เศร้าจัด เซ็งจัด"ตำรา ยืดหดเส้นเอ็น" นี้ ท่านต้กม้อโจวซือ (พระโพธิธรรมมหาเถระ) เป็นผู้นำมาจากชมพูทวีป ท่านตักม้อเป็นชาวอินเดีย ได้เขียนตำรายืดหดเส้นเอ็นและตำราล้างพิษไขกระดูก ไว้ที่วัดเส้าหลิน ในสมัยพระเจ้าถังไท้จงฮ่องเต้
เมื่อได้แปลตำราทั้งสอง ซึ่งเป็นภาษาบาลี มาเป็นภาษาจีนแล้ว เป็นตำราที่ฝึกยาก ต้องตั้งใจจริงๆ จึงจะประสบความสำเร็จได้ คำพูดของท่านตักม้อโจวซือพูดกับศิษย์ของท่านที่ฝึกว่า "คนนี้ได้แค่ผิวของเรา คนนี้ได้แค่เนื้อของเรา คนนี้ได้แค่กระดูกของเรา" และท่านอาจารย์พูดกับศิษย์ที่ชื่อฮุ่ยค้อของท่านว่า "เจ้าได้ไขกระดูกของเราไป" ความหมายที่ว่าเรียนยากก็เป็นเช่นนี้เอง
ตำราว่าด้วยการยืดหดเส้นเอ็นนี้ มีด้วยกัน 2 กระบวนท่า คือ
กระบวนท่ายืน12 กระบวนท่า
กระบวนท่านั่ง 12 กระบวนท่า
ตำรานี้ใช้สติเป็นที่ตั้ง อิริยาบถช้าๆ นุ่มนวล เป็นหัวใจของการบริหารลมหายใจเข้าออกอย่างช้าๆลึก และแผ่วเบา เป็นปัจจัยเอื้ออำนวยให้การบริหารเกิดประสิทธิภาพอย่างสมดุลทางเดินของพลัง
การเคลื่อไหวปลายนิ้วมือและเท้า จะเกิดพลังชีวิตเป็นกระแสตรงไปสู่อวัยวะภายในอย่างเป็นระบบ มนุษย์จะสามารถใช้จิตที่ฝึกเป็นสมาธิดีแล้ว กระตุ้นพลังชีวิตนี้ นำเลือดไปหล่อเลี้ยงจุดหมายที่ต้องการได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังที่แพทย์จีนโบราณเรียกว่า "ชี่กง" การบริหารร่างกายจึงจำเป็นต้องฝึกจิตไปด้วย เพื่อนำมารักษาโรคบางโรคให้หายได้อย่างง่ายดาย เพราะพลังปลายนิ้วทั้งหมดกระตุ้นให้เลือดและลมปราณเดินสะดวก ท่าเหล่านี้ จึงเหมือนการคุ้มครองอวัยวะทั้งหมด ให้ชะลอการเสื่อมโทรมได้ตามความสามารถของผู้ฝึกแต่ละคน ที่หมั่นเพียรฝึกฝนไม่ย่อท้อ- การบริหารท่านั่ง และท่ายืน
เพราะฉะนั้น วิธีการฝึกจึงต้องให้ตัวตั้งตรงเสมอ ยิ่งไม่ไหวติงได้เท่าใดก็จะได้ผลมากเท่านั้น ส่วนอิริยาบถต้องช้าเหมือนการฝึกในกระบวนท่าที่หนึ่ง ลมหายใจก็เช่นกัน ต้องอย่าลืมว่าถ้าหายใจแรงๆเร็วๆ จะทำให้ลมปราณติดขัด บางครั้งหายใจไม่ออกทันที จะเกิดอาการเจ็บปวดมาก
- ท่ายืน
-เน้นหนักการบริหารจากภายนอก รักษาอวัยวะภายในให้แข็งแรง
- ท่านั่ง
- เน้นหนักการใช้ลมปราณเดินให้ได้ครบวงจร ก็จะรักษาอวัยวะภายในให้แข็งแรงได้เช่นกันควรปิดปากสนิท ขณะฝึก ฟันล่างและฟันบนชิดกัน ปลายลิ้นดุนฟันไว้เบาๆ จิตต้องเพ่งเข้าภายในสะดือ (ตันเถียนกลาง) ตลอดเวลา ยามเดินลมปราณในท่าต่างๆ
การฝึกจิตของจีนโบราณ ท่านกำหนดศูนย์พลังแห่งชีวิต หรือลมปราณแล่นเข้าออกอยู่ 3 จุด โดยใช้ชื่อว่า
- ตันเถียนบน อยู่หว่างกลางหัวคิ้วทั้งสองที่หน้าผาก
- ตันเถียนกลาง อยู่ภายในสะดือลึกเข้าไป 2 นิ้ว
- ตันเถียนล่าง อยู่ระหว่างทวารหนักและทวารเบา เป็นจุดสำคัญที่ของร่างกายการฝึกที่ประสบความสำเร็จแล้ว 3 จุดนี้จะมีพลังชีวิตมหาศาล เดินถึงกัน และทรงพลังตลอดชีวิต เมื่อฝึกครบวงจรแล้วก็ต้องกลับที่เดิมคือ จุดตันเถียนกลาง สติจะช่วยให้ผู้ฝึกไม่วอกแวก เกิดความสงบทางใจ
ท่าเตรียมพร้อมเมื่อจบท่าหนึ่ง จะเริ่มท่าต่อไป ต้องเริ่มตั้งท่าเตรียมพร้อมนี้ทุกครั้งก่อนเสมอ จนครบ 12 ท่า ฝึกท่าละ 49 ครั้งทุกท่า ยกเว้นท่า 11-12
- ยืนตรง หันหน้าทิศตะวันออก
- แยกขาออก ให้ระยะเท่ากับความกว้างของไหล่
- ปลายเท้าและส้นเท้า ตรง อย่าเอียงเข้าหากัน
- ทำจิตให้นิ่ง ไม่คิดอะไรให้วอกแวก ขุ่นมัว เลื่อนลอย
- หน้าตรง คางเชิดนิดๆ
- ฟัน ล่างและบนประชิดกันเบาๆ
- ลิ้น กระดกไว้ที่เพดานปาก
- นัยตา มองตรงนิ่ง ไม่กระพริบบ่อยนัก
- อิริยาบถ ต้องช้าๆ จึงจะฝึกได้ผลดี
- ริมฝีปาก ปิดสนิทยิ้มหน่อยๆ ใจจะเบิกบานเอง หายใจลึกๆ ช้าๆ ให้ถึงท้อง
- เมื่อจบแต่ละท่าหายใจลึกๆ อีก 3 ครั้ง จะไม่เหนื่อยเร็วกระบวนท่ายืน
ท่าที่ 1
![]()
เมื่อตั้งท่าเตรียมพร้อมดีแล้วค่อยๆยกแขนขึ้น คว่ำมือลงเหยียดนิ้วไปข้างหน้า อย่างช้าๆ จนถึงระดับสะดือ อย่าให้สูงถึงเอวจะทำให้ไม่ถนัด และไม่เป็นผลดี เคลื่อนมือเข้าใกล้ข้างตัว นิ่งอยู่สักอึดใจ ตั้งสติให้มั่น ค่อยๆแบมือ เหยียดนิ้วให้ตรง กางหัวมือมือออก อีก 4 นิ้วให้ชิดกันไว้ ห่างตัวประมาณ 2 นิ้ว งอปลายนิ้วทั้ง 8 ช้าๆอย่างสุดแรง แล้วค่อย คลายนิ้วพร้อมกับคว่ำมือลงช้าๆ ค่อยๆกดฝ่ามือลงจนสุดแขน น้ำหนักดุจดังใช้แรงกดโต๊ะแล้วกระโดดตัวลอย ฉะนั้น
***อย่าลืมหายใจลึกๆ เมื่อกระดกนิ้วขึ้น
หายใจแผ่วๆ เมื่อคลายนิ้วออก
ท่านี้ ไล่ลมในร่างกาย และป้องกันลมปราณติดขัด
-------------------------------------------------------
ท่าที่ 2
![]()
กำมือหลวมๆ ไว้ข้างลำตัว เคลื่อนเท้าทั้งสองชิดกัน ค่อยๆกำมือให้แน่นเข้า พร้อมกับเคลื่อนมาแนบอยู่ที่หน้าขา หันมือออกไปทางข้างลำตัว เริ่มเชิดนิ้วหัวแม่มือจนสุดแรง กดหน้าขานิ่งไว้สักอึดใจ จึงผ่อนคลายอย่างช้าๆ พร้อมกับระบายลมหายใจออกอย่างแผ่วเบา
***ทุกครั้งที่จะกำมือให้แน่น ต้องสูดลมหายใจให้ลึกถึงสะดือ กลั้นลมหายใจนั้นไว้สักครู่ จึงค่อยๆระบายออก พร้อมการผ่อนคลายนิ้วมือ
ท่านี้ บำรุงปอด
-----------------------------------------------------
ท่าที่ 3
![]()
กำมือหลวมๆไว้ข้างตัว ค่อยๆกำให้แน่น โดยมีนิ้วหัวแม่มืออยู่ภายในอุ้งมือ เหยียดแขนให้งอนิดหน่อยช้าๆ นิ่งสักอึดใจแล้วคลายกำมือออกอย่างช้าๆ แล้วเริ่มใหม่
***ท่าที่สามนี้ต่างกับท่าที่สองดังนี้
- เข่าตรง
- นิ้วหัวแม่มืออยู่ในอุ้งมือ และถูกกำแน่น
- เมือออกแรงที่แขน ศอกจะงอนิดๆ อกจะแอ่นเล็กน้อย
- เน้นที่กำมือ
- พลังคลื่นแห่งหัวใจทำการสูบฉีด
- คลื่นแห่งพลังนำอ๊อกซิเจนไปสู่หัวใจ จะรู้สึกหายใจสะดวก จังหวะการเต้นของหัวใจจะปกติ
ท่านี้ บำรุงลำใส้ใหญ่ ลำใส้เล็ก หัวใจ เยื่อมหุ้มสมอง และสร้างอุณภูมิให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น
---------------------------------------------------
ท่าที่ 4
![]()
ยืนตรง เท้าตรง กำมือหลวมๆ นิ้วหัวแม่มืออยู่ในอุ้งมือ ค่อยๆยกแขนขึ้นระดับไหล่ ตั้งฉากกับลำตัว หันมือที่กำแน่นเข้าหากัน แขนตรงขนานกันตลอดเวลา
*** ระวังอย่าให้ลำตัวเคลื่อนไหวไปมา
- ค่อยๆกำมือให้แน่นสุดแรง หายใจเข้า
- นิ่งอยู่สักอึดใจหนึ่ง คลายมือออกช้าๆ หายใจออก
- แขนเคลื่อนลงข้างลำตัว หายใจลึกๆ สัก 3 ครั้ง เริ่มใหม่ต่อไป
ท่านี้ เพื่อให้อ๊อกซิเจนทำงานได้เต็มที่
------------------------------------------------
ท่าที่ 5
![]()
ค่อยๆ เคลื่อนเท้าในท่าเตรียมพร้อมให้ชิดกัน กำมือหลวมๆ ยกแขนขึ้นสุดแขนอย่างช้าๆ หายใจเข้า
*** ระวังอย่าให้แขนแนบหู ขณะที่ยกขึ้น ให้เขย่งส้นเท้าขึ้นพร้อมกัน
- ส้นเท้าห่างพื้น 1 นิ้ว พร้อมกับกำมือให้แน่นสุดแรง
- ทั้งสามอิริยาบถนี้ ต้องทำในขณะเดียวกัยอย่างช้าๆ
- นิ่งอยู่สักอึดใจ ค่อยๆผ่อนคลายทั้งสามอิริยาบถพร้อมกัน
- หายใจออกช้าๆ แล้วเริ่มใหม่
ท่านี้ ทำให้หัวใจแข็งแรง
---------------------------------------------------------
ท่าที่ 6
![]()
ให้เท้าทั้งสองที่แยกกันในท่าเตรียมพร้อม ค่อยๆเคลื่อนเข้าหากัน ห่างกัน 1 ฟุต ขนานกันอยู่ กำมือหลวมๆ นิ้วหัวแม่มืออยู่ข้างนิ้วชี้ ค่อยๆยกแขนขึ้นจนสุด แล้วงอศอกช้าๆ ให้มือกำอยู่หลวมๆ หันหน้าออก อยู่ระดับหูพอดี ห่างห ค่อยๆ กำมือให้แน่นสุดแรง พร้อมกับออกแรงบีบที่ศอกพับช้าๆ สักอึดใจหนึ่ง ก็ผ่อนคลาย
ท่านี้ เป็นการยืดหดเส้นเอ็น บริเวณหัวไหล่ หลัง และหน้าอกถึงท้อง ทำให้ไม่อึดอัดหรือเมื่อย
----------------------------------------------------------
ท่าที่ 7
![]()
กำมือหลวมๆ นิ้วหัวแม่มืออยู่ข้างนอก กางแขนทั้งสองตั้งฉากกับลำตัว ยื่นอกเล็กน้อย คว่ำมือที่กำอยู่ลงช้าๆ ระวังแขนให้กางเสมอกัน ขณะที่กำมือแน่นสุดแรง ให้ยกปลายนิ้วเท้าทั้งหมดขึ้น ห่างพื้น 1 นิ้ว สักอึดใจหนึ่ง ค่อยๆผ่อนคลาย
*** ระวังถ้าไม่กำหนดสติให้ดี อาจหงายหลังได้ ท่านที่มีการทรงตัวไม่ปกติ โปรดหาที่วางมือ ที่กำลังคว่ำอยู่ขณะยกปลายนิ้วเท้า ก็จะปลอดภัย
ท่านี้ เป็นการสูบฉีดพลังแห่งคลื่นชีวิต และเลือดที่มีอ๊อกซิเจนสูงกว่าปกติ เพราะหายใจลึกๆ เข้าสู่อวัยวะภายใน
-----------------------------------------------------------
ท่าที่ 8
![]()
ท่านี้คล้ายท่าที่ 4ค่อยๆ เคลื่อนเท้าให้ชิดกัน กำมือหลวมๆ ให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ในอุ้งมือ ยกแขนไปข้างหน้าช้าๆ ตั้งฉากกับลำตัว กำมือแน่นจนสุดแรง พร้อมกับเขย่งเท้าให้พ้นพื้น ประมาณ 2 นิ้วกว่าๆ สักอึดใจหนึ่ง ค่อยๆผ่อนคลาย
*** ระวังอย่าให้ตัวโงนเงน เอนไปข้างหน้า หรือหงายไปข้างหลัง จะไม่ได้ผล
ท่านี้ พลังแห่งคลื่นชีวิต สามารถนำเลือดเดินไปทั่วตัว อ๊อกซิเจนที่หายใจลึกๆ ก็มีส่วนช่วยให้เลือดถูกฟอกสะอาดอย่างมาก
--------------------------------------------------------
ท่าที่ 9
![]()
- ค่อยๆ เคลื่อนเท้าประชิดกัน
- นิ้วหัวแม่มืออยู่ในอุ้งมือ กำไว้หลวมๆ
- ค่อยๆยกมือขึ้นจนถึงหน้าท้อง
- งอศอกช้าๆ ยกมือขึ้นถึงแก้ม
- ค่อยๆกำมือให้แน่นจนสุดแรง ประหนึ่งว่ายกของหนัก
แขนส่วนบนและล่าง ก็พลอยออกแรงไปด้วย เคลื่อนกำมือเข้าใกล้กันระหว่างจมูก ห่างกันประมาณ 3 นิ้ว สักอึดใจหนึ่ง ค่อยๆ ผ่อนคลายออก แล้วเริ่มใหม่
ท่านี้ จะช่วยให้มีแรงมากขึ้น
--------------------------------------------------
ท่าที่ 10
![]()
- กำมือหลวมๆ ให้นิ้วหัวแม่มืออยู่ในอุ้งมือ
- หันหน้ามือออก ค่อยๆ ยกแขนขึ้นตั้งฉากกับลำตัวและต้นแขน
- ค่อยๆ กำมือแน่นจนสุดแรง
ส่วนแขนออกแรงดุจกำลังเทินของหนักมากๆ อึดใจไว้สักครู่ ค่อยๆ ผ่อนคลาย
ท่านี้ เป็นการเพาะกำลัง
------------------------------------------------------
ท่าที่ 11
![]()
- ค่อยๆ เคลื่อนเท้าทั้งสองให้ชิดกัน กำมือหลวมๆ นิ้วหัวแม่มืออยู่ข้างนิ้วชี้
- ยกมือที่กำอยู่ขึ้นช้าๆ จนถึงสะดือ
- มือกำไว้หลวมๆ หันเข้าท้องน้อย ห่างกัน 1 นิ้ว
- ค่อยๆยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นสุดแรงเช่นกัน
ในขณะที่เริ่มกำมือให้แน่น ให้หายใจเข้าลึกๆ จนถึงท้อง สักอึดใจหนึ่ง ค่อยๆผ่อนคลาย ขณะเดียวกัน ก็ผ่อนคลายลมหายใจออกมาทางปากจนหมด ทำให้ได้เก้าครั้ง ลมหายใจ จะสะอาดหมดกลิ่นเหม็น
ท่านี้ เพื่อระบายพิษออกมา เป็นการฝึกลมปราณให้ขึ้นลงตามที่จิตสั่ง เป็นท่าเดียวที่เปิดปากได้
-----------------------------------------------------
ท่าที่ 12
![]()
- ค่อยๆเคลื่อนเท้าประชิดกัน
- ยกแขนขึ้นไปข้างหน้าช้าๆ ตั้งฉากกับลำตัว
- แบมือ ให้แขนทั้งสองห่างกับเท่ากับไหล่
ขณะยกแขนขึ้น ให้เขย่งส้นเท้าไปด้วยพร้อมกัน ห่างพื้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สักอึดใจหนึ่ง ค่อยผ่อนคลาย จนส้นเท้าแตะพื้น ให้กระดกปลายนิ้วขึ้น ห่างพื้นสัก 1 นิ้ว แล้วค่อยๆ ให้ปลายนิ้วแตะพื้น ทำอย่างนี้ 12 ครั้ง ต่อไปจะเดินทน มือเท้าเชื่อฟังดี
***สุด ท้ายให้แขนอยู่ในท่าเดิม เขย่งส้นเท้าอีกเมื่อส้นเท้าแตะพื้น ให้กระดกปลายนิ้วเท้าทันที แล้วค่อยๆ แตะพื้นอย่างช้าๆ ทำเช่นนี้ 12 ครั้ง
"รู้รักษาตัวเป็นยารักษาโรค เส้นเอ็นแข็งแรง กระดูกแข็งแกร่ง"
กระบวนท่านั่ง : ล้างพิษเพิ่มไขกระดูก
![]()
ท่าที่ 1นั่งตัวตรงกับพื้น ไม่ควรใช้เบาะหรือสิ่งอื่นรองนั่ง จะทำให้ตัวเอียงไปมา ไม่เกิดดุลยภาพเป็นผลเสียต่อเส้นเอ็น ที่จะพลิกตามไป ทำให้เกิดอาการเคล็ดขัดยอกได้
ท่านี้ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตคล่องตัว หลุดพ้นอาการปวดเมื่อย ปวดหัว ตามัว เวียนหัว เป็นไข้บ่อยๆ
ตำรานี้ไม่นิยมการนั่งสมาธิราบ แต่ต้องขัดสมาธิเพชร คือหลังเท้าขวาทับขาซ้าย หลังเท้าซ้ายทับขาขวา สองมือวางบนเข่า ค่อยๆกำมือให้แน่นเข้า ให้หัวแม่มืออยู่ด้านนอกของนิ้วทั้งหมด
- การหายใจเข้าช้าๆ ต้องสัมพันธ์กับการกำมือให้แน่นเข้า ช้าๆพร้อมกัน
- การหายใจออกช้าๆ ต้องสัมพันธ์กับการคลายมือ ช้าๆพร้อมกัน
ผู้ที่ยังฝึกขัดสมาธิเพชรไม่ได้ อนุโลมให้นั่งสมาธิราบไปพลาง แต่ต้องหัดทำสมาธิเพชรทุกวัน เมื่อทำได้แล้วอีก 11 ท่า ก็ทำได้เช่นกัน
ท่านี้ เน้นการตั้งจิตให้เป็นสมาธิ ดูจุดแป๊ะหวย
จุดแป๊ะหวย นี้เป็นจุดสำคัญยิ่ง
เป็นจุดพลังชีวิตของเส้นทุกเส้น
วิ่งมารวมกันที่จุดนี้ ถ้าจุดนี้แข็งแรง
การไหลเวียนของโลหิตก็จะคล่องตัว.
.
.
.
--------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 2นั่งอย่างสงบนิ่งตรงอย่างสมดุล เริ่มคลายมือที่กำอยู่ในท่าที่ 1 ออก ยกแขนขึ้นช้าๆ ทำมุมฉากกับลำตัว หงายมือไว้แล้วเคลื่อนแขนไปด้านหลัง ประสานมือทั้งสองไว้ที่ท้ายทอยแบนใบหู เชิดคางนิดหน่อย หน้าอกก็จะยึดได้เต็มที่ แขนทั้งสองอยู่ในลักษณะสามเหลี่ยม เริ่มใช้จินตนาการเดินลมปราณ ตั้งต้นจากจุดตันเถียนกลาง แล่ยตรงผ่านในกลางสะดือไปถึงเยื่อหุ้มหัวใจ ผ่านลูกกระเดือก แล่นตรงไป กลางกระหม่อม หยุดไว้อึดใจหนึ่ง แล่นต่อไปตรงๆ ผ่านจุดแป๊ะหวย ไปทางท้ายทอย ผ่านกระดูกสันหลังลงไปก้นกบ แล้วผ่านระหว่างจุดทวารหนัก ไปทวารเบา (ตันเถียนล่าง) จนถึงใต้สะดือซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น ครบหนึ่งวงจรของพลังชีวิต หยุดสักอึดใจ เริ่มทำใหม่ให้ครบ 3 ครั้ง ก็หยุดพักได้ จินตนาการนี้ ฝึกไปทุกวันๆ นานไป ก็จะกลายเป็นจริงได้ สังเกตจากเส้นทางที่คลื่นพลังชีวิต แล่นเป็นกระแสไปตามจิตสั่งนั้น จะมีความร้อนน้อยๆ เกิดขึ้นก่อน เวลาเดินลมปราณ พลังชีวิตจะพาโลหิต ไหลไปตามทิศทางที่กำหนดให้ ผู้ฝึกจะรู้สึกได้เองว่า เป็นความร้อนที่สบายๆ ยิ่งนัก เกิดความสดชื่นกระปี้กระเปร่า หลังฝึกเสร็จแล้ว ต่อไปต้องการให้พลังชีวิตนำโลหิตไปเลี้ยงอวัยวะใดหรือเส้นเอ็นใดก็ได้ดังใจ
------------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 3
ทุกครั้งที่ฝึกหมดไปท่าหนึ่ง ก็ให้ขัดสมาธิเพชร กำมือไว้บนหัวเข่าทุกครั้งไป
เริ่มเหยียดขาให้ตรง เท้าตั้งตรงชิดกัน
- ค่อยๆ ขยับแขนทั้งสองยืดตรงไปข้างหน้าขนานกับเท้า โน้มตัวไปข้างหน้า โอบเท้าทั้งสองไว้อย่างช้าๆ และอย่าให้เอียง
- เริ่มใช้มือที่โอบอยู่ดึงเท้าเข้าหาตัว เท้าทั้งสองก็ต้านมือไว้ อย่างสุดแรง นิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง ค่อยๆหายใจออกพร้อมทั้งคลายทั้งมือออก แล้วหยุดพัก
*** อย่าเผลองอเข่า หรือเอียงไปมา
ท่านี้ จะทำให้เอวอ่อน หลังไม้แข็ง ทำให้ไตแข็งแรง
-------------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 4
- ขัดสมาธิเพชร กำมือบนเข่าตามเดิม
- ค่อยๆยกแขนขึ้น หงานมือประสานกันเหนือศีรษะ
- เริ่มเดินลมปราณจากจุดเริ่มต้น คือจุดตันเถียนกลาง แล่นตรงผ่านสะดือ แล้วแยกซ้ายขวา ไปสู่แขนทั้งสอง แล่นไปจนสุดปลายนิ้วแต่ละนิ้ว นิ่งอยู่สักอึดใจหนึ่ง จึงค่อยๆ ปล่อยแขนลงสู่ท่าเดิม
ท่านี้ ทำให้เส้นเอ็นตามลำแขนแข็งแรง
รักษาอาการเจ็บปวดเคล็ดขัดยอก
-----------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 5
- ค่อยๆ เหยียดขาตรงไปข้างหน้า ห่างกันพอสมควร
- แขนทั้งสองไปด้านหลัง ประสานมือไว้ที่ก้นกบ หันฝ่ามือแนบเนื้อ
เริ่มใช้สองมือประสานกัน ถูขึ้นลงตามจังหวะลมหายใจ ถูขึ้นหายใจเข้า ถูลงหายใจออก ถูแรงๆ ช้าๆ ให้แขนและไหล่ยกขึ้นลงตามจังหวะของมือ แล้วเดินลมปราณ ไปตามมือและเส้นเอ็นบริเวณหลัง จะเกิดความร้อนผ่าวไปด้วย จะรูสึกสบาย
ท่านี้ ป้องกันไข้หวัด แรกเป็นจะหายได้เองไม่ต้องพึ่งยา และทำให้กล้ามเนื้อหลังทั้งหมดแข็งแรง มีภูมิต้านทานความเย็นที่จะจู่โจม
----------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 6
นั่งในท่าเดิม
- ค่อยๆเคลื่อนแขนมาที่หน้าท้อง สองมือประสานใต้สะดือ
- เริ่มเดินลมปราณจากจุดตันเถียนกลาง แล่นสู่อวัยวะเพศ
หยุดนิ่งสักอึดใจ เริ่มเดินลมปราณกลับสู่จุดเดิม พร้อมกับออกแรงดึงมือที่ประสานกันอยู่ โดยมิให้หลุดออกจากกัน แล้วนิ่งสักอึดใจหนึ่ง ค่อยๆผ่นคลายอย่างช้าๆ
ท่านี้ ทำ 12 ครั้ง หากเป็นชาย สามารถควบคุมอารมณ์เพศได้ อย่างฉับพลัน ป้องกันการกระทำทางเพศชั่ววูบได้ หากเป็นหญิง จะไม่มีโรคอันเกิดจากบริเวณช่องคลอด มดลูก รังไข่ และทางเดินปัสสาวะ รักษาครรภ์ด้วย
--------------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 7
นั่งท่าเดิมไม่ไหวติง
- ค่อยๆเคลื่อนมือไปที่ข้างลำตัว หัวแม่มืออยู่ในอุ้งมือ ปลายนิ้วทั้ง 4 อยู่ด้านหน้า เหยียดตรง
- เริ่มหายใจแผ่วๆ ช้าๆ กดมือลงแนบพื้น ให้แขนออกแรงมากกว่าแรงกดของมือ ทำท่าว่าจะยกลำตัวท่อนบนขึ้นจากพื้น แต่เป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น
เพื่อให้ลมปราณเดินไปตามบริเวณหน้าอก อึดใจสักครู่ ก็ค่อยๆผ่อนคลายแรงทั้งหมด พร้อมทั้งหายใจออกช้าๆ จิตไปอยู่ที่เดิม หยุดพักสักอึดใจ เริ่มต้นใหม่ 12 ครั้ง
การกำหนดให้พลังชีวิตแล้นไปพร้อมกับโลหิต หยุดนิ่งบริเวณหน้าอก ก็เพื่อให้โอกาสอ๊อกซิเจนทำงานในบริเวณนี้นานกว่าธรรมดา
ท่านี้ ทำให้ไม่มีความอึดอัดหลงเหลืออยู่
ป้องกันโรคบริเวณทรวงอก ปอดและหัวใจ
---------------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 8
- นั่งนิ่งๆ ในท่าเดิม หายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆเคลื่อนแขนข้างหน้าแนบมือทั้งสองลงบนฝ่ามือ ปลายนิ้วชิดกัน ค่อยๆ หายใจออก
- เริ่มเดินลมปราณ พร้อมทั้งออกแรงที่แขน เพื่อให้ฝ่ามือกดฝ่าเท้าได้แนบสนิท ลมปราณเดินจากตันเถียนกลาง แล่นผ่านหัวเหน่า แล้วเวียนกลับสู่ที่เดิม หยุดพักหนึ่งอึดใจ
- ขั้นที่สาม เริ่มจากจุดเดิม ตันเถียนกลาง ชายเลี้ยวซ้ายลงเอว หญิงเลี้ยวขาวลงเอว วนรอบเอวหนึ่งรอบ กลับสู่จุดเดิม หยุดพักอึดใจหนึ่ง เริ่มต้นใหม่ ให้ได้ 9 ครั้ง
*** ผู้หญิง ให้วบขวาทุกกรณี ห้ามย้อนศรเป็นอันขาด
ท่านี้ จะทำให้ท้องแข็งแรง ถูกชกไม่เจ็บ หัวเข่าใช้งานได้ดี
---------------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 9
นั่งในท่าเดิม
- ค่อยๆ ยกแขนขึ้น มือจับบ่าไว้
- เริ่มออกแรงบีบบ่า พร้อมกับเดินลมปราณจากจุด ตันเถียนกลาง ไปสู่บริเวณหลังและไหล่ที่มือบีบอยู่ สักอึดใจหนึ่ง ก็ผ่อนคลายเอาแขนลงได้
- เหยียดขาไปด้านหน้า หยุดพักสักครู่
ท่านี้ ทำให้บริเวณไหล่ไม่ปวดเมื่อย ไม่เคล็ดขัดยอก
ไม่มีสิ่งตกค้างที่ จะทำให้เกิดปัญหาในภายหน้า
------------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 10
- คุกเข่า นั่งบนหลังเท้าที่แนบกับพื้น
- ค่อยๆ ยกแขนขึ้น มือจับราวนม
- เดินลมปราณจากจุดเดิมให้ไปบริเวณราวนม
- จินตนาการให้พลังชีวิตนำโลหิตเข้าสู่นมทั้งสองข้าง อย่างหนาแน่น
อึดใจสักครู่ แล้วจึงค่อยๆ ผ่อนคลาย ปล่อยจิตกลับสู่ที่ ตุนเถียนกลาง ทำดังนี้ 9 ครั้ง
ท่านี้ ป้องกันโรคมะเร็งที่ผู้หญิงเป็นกันมากในเวลานี้
-------------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 11
- คุกเข่าในท่านั่ง
- มือทั้งสองข้างเคลื่อนไปวางไว้ที่หัวเข่า
- เริ่มหงายหลังให้ศีรษะแหงนตามจนต่ำสุดเท่าที่ทำได้
- เดินลมปราณจากจุด ตันเถียนกลาง ผ่านสะดือ แล่นสู่หัวใจ แล่นต่อถึงลูกกระเดือก
แล้วสงบนิ่ง สักอึดใจหนึ่ง จึงค่อยๆผ่อนคลาย ตั้งตัวตรง จิตจับอยู่จุดเดิม ทำเช่นนี้ 9 ครั้ง
ท่านี้ เป็นประโยชน์มากสำหรับ ผู้ที่เจ็บคอบ่อยๆ
เป็นการป้องกันโรคที่เกิดกับคอ
---------------------------------------------------------
![]()
ท่าที่ 12
- นั่งในท่าสมาธิเพชร
- สองมือประกบกัน ถู 72 ครั้ง จนร้อนจัด
- เคลื่อนแขนมาแนบหลัง ยกชายเสื้อขึ้น สองมือแนบบั้นเอว
- หมุนมือ จากซ้ายไปขวา ถูจากบั้นเอวลงสู่ก้นกบ จากก้นกบสู่บั้นเอว 72 ครั้ง
แล้วเปลี่ยนหมุนมือจากขวาไปซ้ายถูอีก 72 ครั้ง
--------------------- จบกระบวนท่า --------------------
ท่านี้ ทำให้บริเวณบั้นเอวถึงก้นกบไม่เย็น ไม่เป็นโรคขัดหนัก
ฝึกทุกวันทำให้เส้นเอ็นบริเวณนี้แข็งแรง ลุกเดินเหินคล่องตัว-
---------------------------------------------------------------------------------------
คัมภีร์ เปลี่ยนเส้นเอ็น ของ ปรมาจารย์ ตั๊กม้อ (3) เคล็ดวิชา 16 ประการ
1. ส่วนบนปล่อยให้ว่าง
2. ส่วนล่างควรให้แน่น
3. ศีรษะให้แขวนลอย (มองตรงไม่ก้มไม่เงยหน้า)
4. ปากปล่อยให้เงียบสงบตามปกติ
5. ทรวงอกเหมือนปุยฝ้าย (ปล่อยตามสบายไม่เกร็ง)
6. หลังยืดตรงให้ตระหง่าน
7. บั้นเอวตั้งตรงเป็นแกนเพลา
8. ลำแขนแกว่งไกว
9. ข้อศอกปล่อยให้ลดต่ำตามธรรมชาติ
10. ข้อมือปล่อยให้หนักหน่วง
11. สองมือพายไปตามจังหวัดแกว่งแขน
12. ช่วงท้องปล่อยตามสบาย
13. ช่วงขาผ่อนคลายืนตรงตามธรรมชาติ
14. บั้นท้ายควรให้งอนขึ้นเล็กน้อย
15. ส้นเท้ายืนถ่วงน้ำหนักเสมือนก้อนหิน
16. ปลายนิ้วเท้าทั้ง 2 ข้างต้องงอจิกแน่นกับพื้น
คำอธิบายเคล็ดวิชา 16 ประการ ของกายบริหารแกว่งแขน
1. ส่วนบนปล่อยให้ว่าง หมายถึง ส่วนบนของร่างกาย คือ ศีรษะ ควรปล่อยให้ว่างเปล่า อย่าคิดฟุ้งซ่าน มีสมาธิแน่วแน่ ควรทำอย่างตั้งอกตั้งใจมีสติ
2. ส่วนล่างควรให้แน่น หมายถึง ส่วนล่างของร่างกายใต้บั้นเอวลงไป ต้องให้ลมปราณสามารถเดินได้สะดวก เพื่อให้เกิดพลังสมบูรณ์ ฉะนั้นคำว่า “ส่วนบนว่าง ส่วนล่างแน่น” จึงเป็นหลักสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารแกว่งแขน ขณะทำกายบริหารหากไม่สามารถข้าถึงจุดนี้ได้แล้ว ก็จะทำให้ได้ผลน้อยลงไปมากทีเดียว
3. ศีรษะให้แขวนลอย หมายถึง ศีรษะของท่าต้องปล่อยสบาย ๆ ประหนึ่งว่ากำลังแขวนลอยไว้ในอากาศ กล้ามเนื้อบริเวณลำคอ จะต้องปล่อยให้ผ่อนคลายไม่เร็ง ไม่ควรโน้มศีรษะไปข้างหน้า หรือหงายไปข้างหลัง หรือเอียงไปข้าง ๆ ต้องมองตรงไม่ก้มไม่เงยหน้า
4. ปากปล่อยให้เงียบสงบตามปกติ หมายถึง ไม่ควรหุบปากแน่น หรืออ้าปากไปตามจังหวะที่ออกแรงแกว่งแขนไม่ควรให้ปากอ้าตามใจชอบ ให้หุบปากเพียงเล็กน้อยโดยผ่อนคลายกล้ามเนื้อคือ ไม่เม้มริมฝีปากจนแน่น
5. ทรวงอกเหมือนปุยฝ้าย คือกล้ามเนื้อทุกส่วนบนทรวงอกต้องให้ผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ เมื่อกล้ามเนื้อไม่เกร็งก็จะอ่อนนุ่มเหมือนปุยฝ้าย
6. หลังยืดตรงให้ตระหง่าน หมายความว่าไม่แอ่นหน้าแอ่นหลัง หรือก้มตัวจนหลังโก่ง ต้องปล่อยแผนหลังให้ยืดตรงตามธรรมชาติ
7. บั้นเอวตั้งตรงเป็นแกนเพลา หมายถึง บั้นเอวต้องให้เหมือนเพลารถ ต้องให้อยู่ในลักษณะตรง
8. ลำแขนแกว่งไกว หมายถึง แกว่งแขนทั้งสองข้างไปมา ได้จังหวะอย่างสม่ำเสมอ
9. ข้อศอกปล่อยให้ลดต่ำตามธรรมชาติ หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนทั้ง 2 ข้าง ไปข้างหน้าและข้างหลังนั้น อย่าให้แขนแข็งทื่อ ควรให้ข้อศอกงอเล็กน้อยตามธรรมชาติ
10. ข้อมือปล่อยให้หนักหน่วง หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนทั้ง 2 ข้างนั้น ควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ข้อมือ เมื่อไม่เกร็งแล้วจะรู้สึกคล้ายมือหนักเหมือนเป็นลูกตุ้มถ่วงอยู่ปลายแขน
11. สองมือพายไปตามจังหวะแกว่งแขน หมายถึง ขณะที่แกว่งแขนนั้นฝ่ามือด้านในหันไปด้านหลัง ทำท่าคล้ายกำลังพายเรือ
12. ช่วงท้องปล่อยตามสบาย หมายถึง เมื่อกล้ามเนื้อบริเวณช่องท้องถูกปล่อยให้ผ่อนคลายแล้วจะรู้สึกว่าแข็งแกร่งขึ้น
13. ช่วงขาผ่อนคลาย หมายถึง ขณะที่ยืนให้เท้าทั้งสองแยกห่างกันนั้นควรผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ช่วงขา
14. บั้นท้าย ควรให้งอนขึ้นเล็กน้อย หมายถึง ระหว่างทำกายบริหารนั้น ต้องหดกันคือ ขมิบทวารหนัก คล้ายยกสูงให้หดหายเข้าไปใน ลำไส้
15. ส้นเท้ายืนถ่วงน้ำหนักเสมือนก้อนหิน หมายถึง การยืนด้วยส้นเท้าที่มั่นคงยึดแน่นเหมือนก้อนหินไม่มีการสั่นคลอน
16. ปลายนิ้วเท้าทั้ง 2 ข้างต้องงอจิกแน่นกับพื้น หมายถึง ขณะที่ยืนนั้นปลายนิ้วเท้าทั้ง 2 ข้างต้องงอจิกแน่นกับพื้นเพื่อยึดให้มั่นคง
เคล็ดลับพิเศษของกายบริหารแกว่งแขน
ข้อพิเศษของกายบริหารแกว่งแขนคือ “บนสาม ล่างเจ็ด” ส่วนบน “ว่างและเบา” เรียกว่า “บนสาม” แต่ส่วนล่างแน่นและหนัก เรียกว่า “ล่างเจ็ด” การเคลื่อนไหวอ่อนโยนละมุนละไม ตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วจึงแกว่งแขนทั้งสองข้าง ด้วยเคล็ดลับพิเศษนี้แหละ ที่จะช่วยให้ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอเพราะส่วนบนแข้งแรงแต่ส่วนล่างอ่อนแอ ให้สามารถปรับเปลี่ยนไปเป็นผู้ที่มีส่วนล่างแข็งแรงและส่วนบนกระชุมกระชวย อันเป็นลักษณะที่ถูกต้องซึ่งจะทำให้โรคภัยทั้งหายในร่างกายถูกขจัดออกไปเองจนหมด อธิบายเคล็ดลับพิเศษ
คำว่า “บนสาม ล่างเจ็ด” หมายถึง อัตราส่วนเปรียบเทียบการออกแรงมากและน้อย “บน” คือส่วนบนของร่างกาย หมายถึง มือ “ล่าง” คือ ส่วนบ่างของร่างกาย หมายถึง เท้า “สาม” หมายถึง ใช้แรงสามส่วน “เจ็ด” หมายถึง ใช้แรงเจ็ดส่วน เคล็ดวิชาคำว่า “บนสาม ล่างเจ็ด” มีความหมาย 2 ประการ คือ
ประการที่ 1
ในการออกแรงแกว่งแขน หมายถึง เวลาแกว่งแขนขึ้นข้างบน ใช้แรงเพียงสามส่วน เวลาแกว่งแขนลงต่ำมาล่าง ใช้แรงเจ็ดส่วน
ประการที่ 2
ในการออกแรงทั้งตัว หมายถึง ถ้านับกันทั้งตัวการออกแรงก็มีอัตราส่วนเปรียบเทียบ คือ บน : ล่าง เท่ากับ 3 : 7 (บนต่อล่าง เท่ากับสามต่อเจ็ด) คือแกว่งแขนไปข้างหน้านั้น จะเบาหรือแรงก็ตาม แต่มือจะต้องให้ได้ส่วนกับเท้า ในอัตราความแรง 3 ต่อ 7 อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากแกว่งมือแรง เท้าก็ต้องอกแรงยิ่งกว่านั้น นี่คือความหมายที่กล่าวไว้ว่า “ส่วนบนว่าง ส่วนล่างเบา” หรือ “บนสามบ่างเจ็ด” ถ้าแขนออกแรงแต่เท้าไม่ออกแรงเป็นการบริหารที่ไม่สมบูรณ์แบบ คือรู้จักใช้แต่แขนลืมใช้เท้า กรณีนี้จะทำให้ยืนได้ไม่มั่นคง ทำให้รู้สึกคล้าย จะหงายหลังล้ม การที่ไม่ต้องการให้ออกแรง มิใช่ว่าจะปล่อยเลยทีเดียว การที่ให้ออกแรงก็มิใช่ว่าให้ออกแรงจนสุดแรงเกิด การปล่อยให้ผ่อนคลายทั้งร่างกายโดยไม่ออกแรงเลยจนนิดเดียวก็จะไม่ได้ผล เพราะผิดหลัก ผิดอยู่ที่อัตราส่วนเนื่องจากแรงที่เท้าน้อยไป คือ ออกแรงเท้าเท่ากับส่วนบนนั่นเอง หรือหากแขนจะออกแรงมากไปสักหน่อยก็จะกลับตาละปัตร กลายเป็นว่าส่วนล่างว่างส่วนบนแน่น
การแกว่างแขน ข้อสำคัญต้องระวังที่แขนให้มาก เมื่อต้องการให้ออกแรงก็มักจะคิดแต่การออกแรงที่แขน ลืมไปว่ายังมีเท้า ยังมีเอวที่จะต้องมีส่วนช่วยการเคลื่อนไหวเหมือนกัน การเคลื่อนไหวออกแรงของเท้าและเอวนี้สำคัญมากกว่าแขนเสียอีก การที่กล่าวเช่นนี้บางท่านอาจไม่เข้าใจ หากเคยฝึกมวยจีน ไทเก็กหรือศึกษาหลักการแพทย์จีนสมัยโบราณเกี่ยวกับเส้นเอ็นและชีพจนแล้วก็จะเข้าใจได้ไม่ยากนัก แขนที่แกว่งนั้นจะแกว่งไปจากเอวของเรา แต่รากฐานของเอวอยู่ที่เท้าเมื่อเป็นเช่นนี้หากส่วนบน (แขน) ออกแรงแกว่งสะบัด แต่ส่วนล่าง (เท้า) ไม่ออกแรงยึดเกาะพื้นไว้ ให้มั่นคงเราก็จะเสียการทรงตัว ขาดความสมดุลกัน ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรัง จำนวนไม่น้อย ก็เพราะเลือดลมขาดความสมดุล เป็นอัมพาตก็เพราะเลือดลมขาดความสมดุลเช่นกัน ความดีเด่นของการแกว่งแขนที่ปรากฏออกมาให้เห็นชัดก็คือ สามารถช่วยแก้ไขและปรับความไม่สมดุลต่าง ๆ ของร่างกายนั่นเอง
เมื่อเราจะแก้ไขและปรับความสมดุลของร่างกายแล้ว ทำไมจะต้องออกกำลังเท้าด้วย ทั้งนี้ก็เพราะว่าที่ฝ่าเท้าของคนเรามีจุด ซึ่งทางแพทย์จีนเรียกว่า “จุดน้ำพุ” จุดนี้ติดต่อไปถึงไต หากหัวใจเต้นแรงหรือนอนไม่หลับ ถ้าทำการบีบนวด ตรงจุดน้ำพุนี้ก็สามารถ ทำให้ประสาทสงบ ช่วยรักษาโรคนอนไม่หลับได้ ตามตำรายังกล่าวไว้ว่า “ที่ฝ่าเท้ามีจุดอีกหลายจุด เกี่ยวโยงไปถึง อวัยวะภายในของคนเรา” เมื่อเราทราบตำแหน่งของจุดนั้น ๆ แล้วก็จะสามารถรักษาโรคซึ่งเกิดกับอวัยวะเหล่านั้นได้เช่นกัน ดังนั้นการออกกำลังโดยวิธีแกว่งแขนก็คือการปรับร่างกายให้สมดุล ซึ่งเป็น “การบำบัดรักษาโรคนั่นเอง”
การที่มีคำกล่าวว่า “โรคร้อยแปดอาจรักษาให้หายได้ด้วยเข็มเพียงเล่มเดียว” หลายคนคิดว่าออกจะเป็นการอวดอ้างเกินความจริง แต่สำหรับผู้ที่มีความรู้แตกฉานในวิธีฝังเข็มรักษาโรคย่อมได้ประจักษ์แจ้งความจริงด้วยตนเองแล้ว ฉะนั้นการที่จะกล่าวว่า การแกว่งแขน สามารถรักษาโรคได้ร้อยแปดนั้น จึงพูดได้ว่าไม่ใช่เป็นการอวดอ้างเกินความจริงแน่ เพราะวิชากายบริหารแกว่งแขนนี้ ถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ในตัวเองอยู่แล้ว
เคล็ดวิชาทั้ง 16 ประการ และเคล็ดลับพิเศษในการบริหารแกว่งแขน ดังได้อธิบายมาทั้งหมดนี้ ขอให้ทุกท่านอ่านทบทวน จนเข้าใจแจ่มแจ้งดีแล้ว จึงลงมือปฏิบัติ จะทำให้ได้รับผลยอดเยี่ยมครบสมบูรณ์