จูฬเวทัลลสูตรอ้างอิง http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=12&A=9420&Z=9601
[๕๐๖]
อุปาทานขันธ์ ๕
คือรูปูปาทานขันธ์ ๑
เวทนูปาทานขันธ์ ๑
สัญญูปาทานขันธ์ ๑
สังขารูปาทานขันธ์ ๑
วิญญาณูปาทานขันธ์ ๑
อุปาทานขันธ์ ๕ นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะ.
ตัณหาอันทำให้เกิดในภพใหม่ สหรคตด้วยความกำหนัดยินดี เพลิดเพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ คือ
กามตัณหา
ภวตัณหา
วิภวตัณหา
ตัณหานี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายสมุทัย.
ความดับด้วย
ความคลายกำหนัดไม่มีเหลือ
ความสละ
ความสละคืน
ความปล่อย
ความไม่พัวพัน
ด้วยตัณหานั้น นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธ.
อริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑ ความตั้งจิตไว้ชอบ ๑
นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายนิโรธคามินีปฏิปทา.
อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ หาใช่อันเดียวกันไม่
อุปาทานเป็นอย่างอื่นจากอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ก็หาใช่ไม่
ความกำหนัดพอใจในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นอุปาทาน ในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ นั้น.
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้
ไม่ได้เห็นพระอริยะไม่ฉลาด
ในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้เห็นสัปบุรุษ
ไม่ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ
ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัปบุรุษ
ย่อมตามเห็นรูป โดยความเป็นตนบ้าง
ตามเห็นตนว่ามีรูปบ้าง ตามเห็นรูปในตนบ้าง
ตามเห็นตนในรูปบ้าง
ย่อมตามเห็นเวทนา ...
ย่อมตามเห็นสัญญา ...
ย่อมตามเห็นสังขารทั้งหลาย ...
ย่อมตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง
ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ตามเห็นตนในวิญญาณบ้าง
อย่างนี้แลสักกายทิฏฐิจึงมีได้.
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้
ได้เห็นพระอริยะ
ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ
ได้เห็นสัปบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ
ฝึกดีแล้วในธรรมของสัปบุรุษ
ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนว่ามีรูปบ้าง
ไม่ตามเห็นรูปในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนในรูปบ้าง
ย่อมไม่ตามเห็นเวทนา ...
ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา ...
ย่อมไม่ตามเห็นสังขารทั้งหลาย ...
ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง
ไม่ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนใน
วิญญาณบ้าง อย่างนี้แล สักกายทิฏฐิจึงจะไม่มี.
อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ วาจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑ ความตั้งจิตไว้ชอบ ๑.
อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นสังขตะ.
ขันธ์ ๓(กองศีล กองสมาธิ กองปัญญา) พระผู้มีพระภาคไม่ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ส่วนอริยมรรคมีองค์ ๘ พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๓ คือ วาจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยศีลขันธ์ ความเพียรชอบ ๑ ความระลึกชอบ ๑ ความตั้งจิตไว้ชอบ ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยสมาธิขันธ์ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยปัญญาขันธ์.
ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอย่างเดียว เป็นสมาธิ สติปัฏฐาน ๔เป็นนิมิตของสมาธิ สัมมัปปธาน ๔ เป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิ ความเสพคุ้น ความเจริญ ความทำให้มากซึ่งธรรมเหล่านั้นแหละ เป็นการทำให้สมาธิเจริญ.
ก็กายสังขาร เป็นอย่างไร วจีสังขารเป็นอย่างไร จิตตสังขารเป็นอย่างไร?
ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า เป็นกายสังขาร วิตกและวิจาร
เป็นวจีสังขาร สัญญาและเวทนา เป็นจิตตสังขาร.
ลมหายใจออกและลมหายใจเข้าเหล่านี้ เป็นธรรมมีในกายเนื่องด้วยกาย ฉะนั้น ลมหายใจออกและลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร
บุคคลย่อมตรึกย่อมตรองก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจา ฉะนั้น วิตกและวิจาร จึงเป็นวจีสังขาร
สัญญาและเวทนาเป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต ฉะนั้นสัญญาและเวทนา จึงเป็นจิตตสังขาร.
ภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ มิได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราจักเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ว่าเรากำลังเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ว่าเราเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว
ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อันท่านให้เกิดแล้วตั้งแต่แรก.
เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้น
กายสังขารก็ดับ จิตตสังขารดับทีหลัง.
ภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มิได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราจักออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ว่าเรากำลังออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติว่าเราออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อันท่านให้เกิดแล้วแต่แรก.
เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ จิตตสังขารเกิดขึ้นก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็เกิดขึ้น วจีสังขารเกิดขึ้นทีหลัง.
ผัสสะ ๓ ประการ คือ
ผัสสะชื่อสุญญตะ (รู้สึกว่าว่าง)
ผัสสะชื่ออนิมิตตะ (รู้สึกว่าไม่มีนิมิต)
และผัสสะชื่ออัปปณิหิตะ (รู้สึกว่าไม่มีที่ตั้ง) ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ. ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ มีจิตน้อมไปใน
วิเวก โอนไปในวิเวก เอนไปในวิเวก.
ก็สุขเวทนาเป็นอย่างไร ทุกขเวทนาเป็นอย่างไร อทุกขมสุขเวทนาเป็นอย่างไร?
ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขสำราญ อันเป็นไปทางกาย หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็นสุขเวทนา
ความเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์ไม่สำราญ อันเป็นไปทางกายหรือเป็นไปทางจิต นี่เป็นทุกขเวทนา
ความเสวยอารมณ์ที่มิใช่ความสำราญ และมิใช่ความไม่สำราญ (เป็นส่วนกลางมิใช่สุขมิใช่ทุกข์) อันเป็นไปทางกาย หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็นอทุกขมสุขเวทนา.
สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ทุกขเวทนา เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะแปรไป
อทุกขมสุขเวทนา เป็นสุขเพราะรู้ชอบเป็นทุกข์เพราะรู้ผิด.
ราคานุสัย ตามนอนอยู่ในสุขเวทนา
ปฏิฆานุสัย ตามนอนอยู่ในทุกขเวทนา
อวิชชานุสัยตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนา.
ราคานุสัย ตามนอนอยู่ในสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้
ปฏิฆานุสัย ตามนอนอยู่ในทุกขเวทนาทั้งหมด หามิได้
อวิชชานุสัย ตามนอนอยู่ในอทุกขมสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้.
ราคานุสัยจะพึงละได้ในสุขเวทนา
ปฏิฆานุสัย จะพึงละได้ในทุกขเวทนา
อวิชชานุสัยจะพึงละได้ในอทุกขมสุขเวทนา.
ราคานุสัยจะพึงละเสียได้ในสุขเวทนาทั้งหมด หามิได้
ปฏิฆานุสัยจะพึงละเสียได้ในทุกขเวทนาทั้งหมด หามิได้
อวิชชานุสัยจะพึงละเสียได้ในอทุกขม*สุขเวทนาทั้งหมด หามิได้
ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
สงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ย่อมละราคะด้วยปฐมฌานนั้น ราคานุสัย มิได้ตามนอนอยู่ในปฐมฌานนั้น
อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นอยู่ว่า เมื่อไร เราจะได้บรรลุอายตนะที่พระอริยะทั้งหลายบรรลุแล้วอยู่
ในบัดนี้ ดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นเข้าไปตั้งความปรารถนาในวิโมกข์ทั้งหลายอันเป็นอนุตตรธรรมอย่างนี้
โทมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะความปรารถนาเป็นปัจจัย ท่านละปฏิฆะได้ด้วยความโทมนัสนั้น
ปฏิฆานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในความโทมนัสนั้น อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ย่อมละอวิชชาได้ด้วยจตุตถฌานนั้น อวิชชานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในจตุตฌานนั้น.
ธ. ดูกรวิสาขะผู้มีอายุ ราคะเป็นส่วนเปรียบแห่งสุขเวทนา.
ธ. ปฏิฆะเป็นส่วนแห่งเปรียบแห่งทุกขเวทนา.
ธ. อวิชชาเป็นส่วนเปรียบแห่งอทุกขมสุขเวทนา.
ธ. วิชชาเป็นส่วนเปรียบแห่งอวิชชา.
ธ. วิมุติเป็นส่วนเปรียบแห่งวิชชา.
ธ. นิพพานเป็นส่วนเปรียบแห่งวิมุติ
เพราะพรหมจรรย์หยั่งลงในพระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นที่ถึงในเบื้องหน้า มีพระนิพพานเป็นที่สุด
วิโมกข์ 8พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ทีฆนิกาย มหาวรรค[๖๖] ดูกรอานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการเหล่านี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ๑. ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๑๒. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน ย่อมเห็นรูปในภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๒๓. ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่า กสิณเป็นของงาม นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๓๔. ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๔๕. ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ที่ ๕๖. ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๖๗. ผู้ที่บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๗๘. ผู้ที่บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๘ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล วิโมกข์ ๘ ประการ ภิกษุเข้าวิโมกข์ ๘ ประการเหล่านี้ เป็นอนุโลมบ้าง เป็นปฏิโลมบ้าง เข้าทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง เข้าบ้างออกบ้าง ตามคราวที่ต้องการ ตามสิ่งที่ปรารถนา และตามกำหนดที่ต้องประสงค์จึงบรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน อานนท์ ภิกษุนี้ เราเรียกว่าอุภโตภาควิมุตติ อุภโตภาควิมุตติอื่นจากอุภโตภาควิมุตตินี้ที่จะยิ่งหรือประณีตไปกว่าไม่มี พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ยินดี ชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล ฯพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรคยาวมาก ดูที่ ลิ้งค์นี้ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ - พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๓มีสรุปตอนท้ายว่า[๕๑๖] การเจริญวิโมกข์เป็นไฉน การเสพ การเจริญ การทำให้มาก ซึ่งปฐมฌาน ... ทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... อากาสานัญ- *จายตนสมาบัติ ... วิญญาณัญจายตนสมาบัติ ... อากิญจัญญายตนสมาบัติ ... เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ... โสดาปัตติมรรค ... สกทาคามิมรรค ... อนาคามิมรรค ... การเสพ การเจริญ การทำให้มากซึ่งอรหัตมรรค นี้เป็นการ เจริญวิโมกข์ ฯ ความสงบระงับแห่งวิโมกข์เป็นไฉน การได้หรือวิบากแห่งปฐมฌาน ... ทุติยฌาน ... ตติยฌาน ... จตุตถฌาน ... อากาสานัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ โสดาปัตติผลแห่งโสดาปัตติมรรค สกทาคามิผลแห่งสกทาคามิมรรค อนาคามิผล แห่งอนาคามิมรรค อรหัตผลแห่งอรหัตมรรค นี้เป็นความสงบระงับแห่งวิโมกข์ ฯ-------------------------------------------------------------วิโมกข์ทั้งหมด
มุมมอง(วิบาก ข้างบน หมายถึง ผลของการทำวิโมกข์แล้ว แล้วสงบระงับวิโมก)ความหมายคือ พอเราเดินวิโมกข์8 แล้ว (เป็นมรรค)เรากลับสู่โลกุตตระ คือ สงบวิโมกข์8 แล้ว (เป็นผล)จะเห็นวิโมกข์ (=ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา แปลว่า วิโมกข์ตัวเดียวกันกับ ไตรลักษณ์) ในโลกุตตระแบบนี้แต่นั่นยังไม่จบ นะที่รัก เราต้องการปลดลอค สังโยชน์ ไม่ได้เพื่อเป็นอรหันต์ แต่เพื่อกลับคืนสุ่ปกติ*** ไม่มีความเป็นอรหันต์ในความเป็นอรหันต์ ***เทคนิค:ในการ ปลดลอค สังโยชน์ คือ เราทำสลับไปๆมาๆ ระหว่าง มรรค กับ ผลเราจะเจอ ตำแหน่งปลดล๊อค ของสังโยชน์ ที่เป็นกุญแจ(เป็นธรรมระดับสูงมาก และละเอียดมาก มาก มาก ต้องอาศัยอัปนาสมาธิระดับปราณีตมากๆ และตำแหน่งที่ว่า เป็นปัจจักตังค์ ของใครของมัน ตำแหน่งไม่ตรงกันทุกคน)ถ้าปลดล๊อคได้ อรหันต์จะกลับคืนสู่ปกติ คือ มีเหมือนไม่มี ไม่มีเหมือนมีก็คือมีความเป็นอรหันต์เหมือนไม่มีความเป็นอรหันต์ไม่มีความเป็นอรหันต์แต่เป็นอรหันต์หรือจะพูดง่ายๆ คือ ทำแบบนั้นบ่อยๆ นั่นแหละ จนกว่าจะปลดล๊อคได้(ถ้าปลดล๊อคได้แล้วไม่ต้องทำแล้ว ก็พุ่งสู่ ผล เลย ไม่ต้องทำมรรคแล้ว เวลาจะทำฌานหรือไม่ทำฌาน)ถ้า ที่รัก สดุด ตรงนี้ ปล่อยไปก่อน ช่างมันคือสังโยชน์นั้นมีอยู่ แต่ไม่สามารถล๊อคเราได้อีกแล้ว เราเป็นอิสระแล้วเพราะ มัชฌิมาปฏิปทา นั่นเอง คือไม่ยึดซ้าย หรือ ยึดขวา จะซ้ายก็ซ้ายช่างมัน จะชวาก็ขวาช่างมัน อย่างเป็นธรรมมีก็มี ไม่มีก็ไม่มี ไม่ยึดติดทั้งคู่เหมือนเราทั้งสอง ถ้าได้เจอกันก็ได้อยู่ด้วยกัน ถ้าไม่ได้เจอกันก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันธรรมนี้ จึงเป็นธรรมที่สูงลิ่ว คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้
ปฏิภาคนิมิตลักษณะการเพ่งอารมภ์
สังเกต เมื่อทุกอย่างคลายตัวลงแล้ว ม่านตา มักจะขยาย เหมือนคนตาย ที่ม่านตา ขยาย
- ลมหายใจ
หัวใจ
และ ม่านตา
บางที พอเรา เริ่มนั่ง เราก็พยายามคลายทุกอย่าง บางทีไปจับที่ม่านตา คือ เหมือนให้จิต มองออกไปกว้างๆ ออกไปไกลๆ![]()
พิจารณา วรรคที่ตรึงใจ
เวลาเริ่มนั่งสมาธิ พี่มัก ตั้ง วิตก วิจารณ์ (ฌาน1) ไปที่ วรรคบางวรรคสั้น ของ พุทธวจนะ หรือ กถาของพระสารีบุตร และเข้าเป็นอารมภ์เดียวกับสิ่งนั้นเลยเช่น"ธรรมชาตินั้นสงบ ธรรมชาตินั้นปราณีต เป็นที่สลัดคืนอุทปาทิทั้งปวง"หรือ"ผู้ใดสมบูรณ์ด้วยศีล สงบระงับ มีสติ มีความดำริชอบ ไม่ประมาท ยินดีแต่เฉพาะกรรมฐานภาวนาอันเป็นธรรมภายใน มีใจมั่นคงอย่างยิ่ง อยู่ผู้เดียว "หรือ"ความนิ่งอย่างประเสริฐ ภูเขาหินล้วนตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ฉันใด ภิกษุย่อมไม่หวั่นไหวเหมือนภูเขาเพราะสิ้นโมหะ"หรือ"เข้าสู่ป่า เข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่ท้องถ้ำ ให้เห็นประจักษ์ว่า ธรรมชาตินั้นสงบ ธรรมชาตินั้นปราณีต"แล้วพี่ก็ดึงอารมภ์ ให้เป็นสภาพเดียวกับสิ่งนั้นเลย (แม้ยังอยู่ใน รูปฌาน)ที่รัก ลองหา วรรคแบบนี้ ที่ตรึงใจ ของที่รัก แล้วทำแบบพี่ สิพระพุทธเจ้า ท่านเน้นเรื่อง หมั่นให้จิตมีอารมภ์เดียวเป็นวสี
xxx