ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายย่อมยังธรรมทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อจากเตภูมิกวัฏอันมิใช่ฝั่งไปถึงฝั่ง คือ นิพพานด้วยประการดังนี้แล ฯ
เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติภายใต้ความแปรปรวนไปสู่การจบสิ้นสภาพ. - ขอจง มีลมหายใจแม้แผ่วเบา ได้สุดขั้ว กันเถิด.
ศึล - อินทรี - อาหาร - ชำระจิตให้ตื่นอยู่เสมอ
อำพล จงสิทธิผล
Ampol Chongsitthiphol
เสียสละ ... อดทน ... รับวิบากผู้อื่นไว้บ้าง ... ... แต่มันเหนื่อยนะ เหนื่อยสุดสุดเลยมึง
คำสั่งสอนจาก... พระอาจารย์ใหญ่
เมื่อเข้าสู่ ความนิ่งอันประเสริฐ แล้ว อินทรีย์สงบ จิตระงับ (การสลัดคืน จะเกิดตามมา) จะมีสภาพ ลำดับนี้
  • วิสุทธิ คือ สภาพใจสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ผุดผ่อง บรรเจิด ภายใน (และมีอนิสงค์ ต่อกายภายนอกในภายหลัง)
  • วิมุตติ คือ สภาพใจเป็นอิสระจาก สภาพแวดล้อมที่เจือด้วยภพ (ส่วนผสมโมหะ โทสะ โลภะ)

    มีนิพพาน เป็นที่สุด หรือ ปลายทางแห่งทุกข์ เส้นทางจิตจบลงแค่นี้ ด้วย ญานทัสสนะอันหมดจดเกลี้ยงเกลา

  • นิพพาน การอยู่ในสภาพไม่มีการก่อเกิด
    ( อันมาจาก ไม่คิดต่อ ปรุงแต่งต่อ เพราะตัวทำให้คิดต่อปรุงแต่งต่อคือ ตัวโมหะ โทสะ โลภะ)

กัลญานมิตรที่ดี ... ควรเป็นผู้มีวาจาไพเราะ เป็นที่ปรึกษาที่ดี และ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา๕ วิโมกข์๘ และ อภิญญา๖ พึงทำให้แจ้งชัด

ดูจากชื่อเรื่อง เหมือนกับจะขัดกับความจริง แต่เป็นความจริง  ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีประโยชน์ต่อชีวิตของมนุษย์ จริง ๆ

โดยสรุป ประโยชน์ของ คาร์บอนไดออกไซด์ คือ ช่วยให้ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดปล่อยก๊าซออกซิเจน ให้เซลล์ในร่างกายนำไปใช้ประโยชน์ได้

โดยธรรมชาติ การทำงานของเซลล์ในร่างกายจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เช่นเดียวกับการจุดไฟ แล้วจะเกิดควันไฟ ซึ่งก็เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เช่นเดียวกัน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ร่างกายผลิตออกมาจะทำปฏิกริยากับน้ำ เกิดเป็นกรดคาบอริค ความเป็นกรด จะทำให้ค่า PH ของเลือด ลดต่ำลง เมื่อค่า PH ลดลง ก็จะทำให้ความสามารถในการจับยึดก๊าซออกซิเจน (Affinity) ของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดลดลง เป็นผลให้ออกซิเจนที่มากับฮีโมโกลบิน ถูกปล่อยออกไปให้เซลล์ได้นำไปใช้งาน ต่าง ๆ แล้วแต่ว่า เซลล์นั้น ๆ จะมีหน้าที่ทำอะไร

สมการ ที่คาร์บอนไดออกไซด์ทำปฏิกริยากับน้ำ เกิดเป็นกรด คือ
 

H2CO3 คือกรดคาร์บอนิค ซึ่งทำให้ค่า PH ของเลือด ลดต่ำลง

การออกกำลัง ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อในส่วนที่เกี่ยวข้องทำงานมากขึ้น ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น  และในขณะเดียวกันก็ต้องการออกซิเจนในการทำงานมากขึ้นด้วย เมื่อเลือดพาออกซิเจนมาถึง พบว่าเซลล์มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มาก ค่า PH ของเลือดต่ำกว่าระดับปกติ จึงปล่อยออกซิเจนให้เชลล์ที่ทำงานมากตามไปด้วย ในขณะเดียวกัน ก็นำพาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กลับไปที่หัวใจ เพื่อส่งต่อไปที่ปอด เพื่อหายใจออก และรับออกซิเจนเข้ามาใหม่

นี่เป็นระบบมหัศจรรย์ของร่างกาย ที่ทำให้ร่างกายส่งออกซิเจนไปให้เซลล์อย่างถูกต้อง ส่วนไหนต้องการออกซิเจนมาก ก็ส่งไปมาก และทำงานอย่างต่อเนื่อง

การเปลี่ยนถ่ายระหว่างก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่พูดถึงนี้ เป็นกฎของบอร์ หรือที่เรียกว่า Bohr Effect ซึ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนถ่ายระหว่างก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในระดับเซลล์

นอกจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แล้ว อีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนถ่ายระหว่างก๊าซออกซิเจนและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ คือ อุณหภูมิ อุณหภูมิสูง จะทำให้ฮีโมโกลบินปล่อยก๊าซออกซิเจนมากขึ้น

 

การลำเลียงคาร์บอนไดออกไซด์

คาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้นในเซลล์ของเนื้อเยื่อ จะแพร่จากเนื้อเยื่อเข้าหลอดเลือดฝอย การขนส่ง CO2  เมื่ออยู่ในหลอดเลือด อาจเกิดได้ 3 ลักษณะ คือ

                1. ละลายในน้ำเลือด ( 7% )

                2. จับกับฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดง ( 23 % )

                3. ขนส่งในรูปของไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน ( 70 % )

คาร์บอนไดออกไซด์เพียง 7 % เท่านั้น ที่ถูกขนส่งในรูปของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่ละลายในน้ำเลือด ส่วนที่เหลือจะแพร่เข้าเม็ดเลือดแดง เมื่อเข้ามาอยู่ในเม็ดเลือดแดง คาร์บอนไดออกไซด์ลางส่วน ( 23 % ) จะจับกับหมู่อะมิโนของฮีโมโกลบิน กลายเป็นคาร์บามิโนฮีโมโกลบิน  ( Carbamiinohemoglobib )

คาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่ (70 % ) จะทำปฏิกิริยากับน้ำ ในเม็ดเลือดแดง กลายเป็นกรดคาร์บอนิก ซึ่งแตกตัวต่อให้ได้ไฮโดรเจนไอออน ( H+ ) และไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน   ( HCO3 )

การรวม CO2 และ H2 O เป็นกรดคาร์บอนิกในเม็ดเลือดแดง เกิดได้รวดเร็วมาก เพราะมีเอนไซม์ คาร์บอนิก แอนไฮเดรส (Carbonic anhydras ) เร่งปฏิกิริยา และปฏิกิริยานี้ย้อนกลับคืนได้ และเนื่องจากกรดคาร์บอนิกจะแตกตัวต่อไปทันทีเป็น  H+  และ  HCO3

H+    ที่เกิดขึ้นจะทำปฏิกิริยากับฮีโมโกลบิน และโปรตีนชนิดอื่น Hb จึงทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ด้วย และไม่มีผลต่อการเปลี่ยน pH ในเลือดมากนัก ( pH อยู่ระหว่าง 7.34 ถึง 7.4 ) ส่วน HCO3  จะแพร่จากเม็ดเลือดแดงออกสู่พลาสมาและทำปฏิกิริยากับ Na+ กลายเป็นโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ( NaHCO3 ) เมื่อ HCO3–  แพร่ออกมาสู่พลาสมา จะมี Cl ( คลอไรด์ ไอออน ) แพร่จากพลาสมาเข้าสู่เม็ดเลือดแดงที่เรียกว่า คลอไรด์ ชีฟต์ ( Chloride shift ) เพื่อรักษาสมดุลของไอออนไว้

  เมื่อเลือดที่มี และ  ไหลเวียนไปถึงหลอดเลือดฝอยอัลวีโอลัสในปอด ปฏิกิริยาจะย้อนกลับโดยเปลี่ยนไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน () และไฮโดรเจนไอออน () กลายเป็นกรดคาร์บอนิกและสลายต่อกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ความดันของคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดฝอยในอัลวีโอลัสจึงสูงกว่าความดันของคาร์บอนไดออกไซด์ในอัลวีโอลัส คาร์บอนไดออกไซด์จึงแพร่เข้าสู่อัลวีโอลัส และขับออกทางลมหายใจออก

อทุกฺขมสุขํ
อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ
จตุตฺถํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหาสึ ฯ
สัจธรรมแห่งชีวิต

ทำนายชื่อสกุล



รายการน่าสนใจ
ค้นหาคำในพระไตรปิฏก
จิตบรรลุนิพพาน
(สมเด็จพระญาณสังวร)

wunjun - ood
ibuddha - wix
บาลีเทียบเคียง
จิตวิทยา
ญานสังวรธรรม
แปลบาลี
ญาน กถา

sitePage32 = ประโยชน์ของ คาร์บอนไดออกไซด์ ต่อชีวิตมนุษย์


    •ข่มไว้ ด้วยฌาน4
    •ด้วยการชำแรก ซึ่งวัฏฏสงสาร
    •ด้วยการตัดขาดภายใน โดยโลกุตตะระมรรค
    •ด้วยสำราญความสงบ ปฏิปัดสัทธิ
    •ด้วยการสลัดออก ดับหัวใจลมหายใจ
    ไม่ประมาท กับปัจจุบัน
    ไม่ประมาท ซึ่งความตาย วินาทีนั้น
    ดำรงความจางคลาย กับปัจจุบัน

    มีแรงบันดาลใจแรงกล้า
    จึงเกิด มุมานะ--ตั้งใจมั่น --> รวมจิตได้

    หาลึกเข้าไปในจิต ซึ่งภาระที่ไม่ยอมวาง
    เมื่อวางลงเสียได้เมื่อไหร่ อิสระทันที

    การทำสมาธิแบ่งเป็น 2 ด้าน

  1. ทางกาย
    คือ กาย+เวทนา
    โดยทำให้ ลมหายใจแผ่วเบา และ หัวใจเต้นเรียบ เป็นการบำรุงร่างกาย และจิตใจไปในตัว และให้มีท้องพล่อง งดอาหารหลังเที่ยง นั่งนิ่งจนมีสภาพถูกล็อคแข็งแกร่งแต่ไม่เกร็ง มีความมั่นคง

  2. ทางใจ
    คือ จิตตา+ธรรมมา
    วิธีจะเข้าถึงโดยการ ตัดกายทิ้ง???
    คือการพยายามระลึกถึงปิติทั่วร่างกาย แล้วเข้าสู่อารมภ์ใดอารมภ์เดียวแห่งปฏิุภาคนิมิต

    การเข้าสู่นิพพาน
    ด้วยการตัดลูกโซ่แห่งการก่อเกิดที่ ตัณหา อุปาทาน ไม่ให้เชื่อมเกิด ภพ ได้ คือ หยุดคิด หลังจากค้นพบแล้วว่า การก่อเกิดทุกชนิดเป็นทุกข์เปล่าประโยชน์

สุขเพราะความสงัด,
สุขเพราะไม่เบียดเบียน,
สุขเพราะปราศจากราคะ ก้าวล่วงกามเสียได้,
สุดอย่างยอด คือการนำความถือตัวออกเสียได้.

พระไตรปิฏก4.ปฐมภาณวาร

อุปทานมีอยู่ แต่ไม่ถือตาม
ถือตามมีอยู่ แต่มีสติไม่ถือ

เพราะวิราคะ อวิชชาจึงดับ
--ปราศจาก โมหะ โทสะ โลภะ--
-คลายจาก ความอยากกระหายอันกดดัน-
เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
--จึงหยุดคิด ไม่คิด--
เพราะสังขารดับ วิญญานจึงดับ
--ไม่ก่อเกิด กายใจสงบ--
เพราะวิญญานดับ นามรูปจึงดับ
--หัวใจจึงราบเรียบเสมอดับ--
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
--หัวใจไม่กระเทือน--
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
--หยุดการกระตุ้นอวัยวะ--
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
--ไม่ถูกกระตุ้น ไม่รู้สึก--
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

เพราะเป็นปัจจัยจึงมี เพราะปัจจัยดับจึงดับ

๑. มีสิ่งหวงแหน (เช่น สตรี ) หรือไม่
๒. มีจิตผูกเวรหรือไม่
๓. มีจิตเบียดเบียนหรือไม่
๔. มีจิตเศร้าหมอง ( ด้วยกิเลส ) หรือไม่
๕. ทำจิตเป็นให้ไปในอำนาจได้หรือไม่

    เครื่องเกาะจิตอันเศร้าหมอง
  1. วิจิกิจฉา
  2. อะมะนะสิการ
  3. ถีนะมิทธะ
  4. ความหวาดเสียว
  5. ความตื่นเต้น
  6. ความชั่วหยาบ
  7. ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป
  8. ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
  9. ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้น
  10. ความสำคัญสภาวะต่างกัน
  11. ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป

     

    withhold
    ระงับ, ยั้ง, ดอง, ไม่ยอมให้, ยั้งมือ

    settle
    ชำระ, ระงับ, ตกลง, กำหนด, ยุบ, เข้าที่

    quell
    ระงับ, ปราบ, ทำให้สงบ, ดับไฟ, ระงับอารมณ์ stay
    คอย, พักอยู่, หยุดอยู่, อาศัยอยู่, ยืนหยัด, ระงับ

    deaden
    ระงับ, ทำให้ชา, ทำให้มึน, ทำให้ไม่รู้สึก, ทำให้หย่อนลง

    forbear
    อดทน, หักห้าม, อดกลั้น, ละเว้น, ระงับ, ข่มใจ refrain
    ละเว้น, งด, ระงับ, ว่างเว้น, กลั้น, ข่มจิต

    mortify
    ระงับ, ฉีกหน้า, ทรมานร่างกาย, ทำให้บัดสี, ทำให้เสียใจ

    propitiate
    เอาใจ, ระงับ, ประจบประแจง, ป้อยอ, ปลอบ, บรรเทา

    abate
    บรรเทา, รา, ระงับ, รำงับ, ค่อยยังชั่ว, เบาบาง

    allay
    บรรเทา, ระงับ, ทำให้สงบ, ทำให้น้อยลง, คลายกังวล

    alleviate
    บรรเทา, ระงับ, แบ่งเบา, ทำให้น้อยลง, คลายใจ, ค่อยยังชั่ว

    assuage
    ระงับ, ทำให้บรรเทา, ทำให้ผ่อนคลาย, ค่อยยังชั่ว, น่าพึงพอใจ

    calm
    ใจเย็น, ระงับ, เงียบสงบ, ไม่ตื่นเต้น, ไม่มีลม, หงิมๆ