มหาวรรค
ร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูต ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตนหาชอบไม่
แต่ว่าตถาคตเรียกร่างกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ฯ
เพราะเหตุว่าจิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนผู้มิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฐิว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน
29_005
พระอรหันต์มีจิตพ้นแล้ว พ้นวิเศษ พ้นดีแล้ว จาก ....
17_004
ดูกรภิกษุ บุคคลย่อมครุ่นคิดถึงสิ่งใด ย่อมถึงการนับเพราะสิ่งนั้น บุคคลย่อมไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งใด ย่อมไม่ถึงการนับเพราะสิ่งนั้น
ดูกรภิกษุ ถ้าบุคคลครุ่นคิดถึงรูป ก็ย่อมถึงการนับเพราะรูปนั้น ถ้าบุคคลครุ่น คิดถึงเวทนา ฯลฯ ถ้าครุ่นคิดถึงสัญญา ฯลฯ ถ้าครุ่นคิดถึงสังขาร ฯลฯ ถ้าครุ่นคิดถึงวิญญาณ ก็ ย่อมถึงการนับเพราะวิญญาณนั้น
โรหิตัสสวรรค - สมาธิสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
สมาธิภาวนาอันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป
เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบันมีอยู่ ๑
เพื่อได้เฉพาะซึ่งญาณทัสสนะมีอยู่ ๑
เพื่อสติสัมปชัญญะมีอยู่ ๑
เพื่อความสิ้นอาสวะมีอยู่ ๑
จตุตถฌาน อทุกฺขมสุขํ อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ จตุตฺถํ ฌานํ อุปสมฺปชฺช วิหาสึ ฯ
(มีสติบริสุทธิ์จากความสงบในจตุตถฌาน คือสมองไม่ปฏิกริยาต่อสิ่งกระทบต่อไปแล้ว
หรืออีกนัย รู้สึก นึกคิด อารมภ์ ความทรงจำ ไม่ทำปฏิกริยาต่อกัน
โดยดูที่ลมหายใจ เส้นทางหายใจ ไม่มีสดุด ไม่มีแรงอัด ไม่มีอาการจุก) )
อิจฉานังคลสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเมื่อจะกล่าวถึงสิ่งใดโดยชอบพึงกล่าวถึงสิ่งนั้นว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยะบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหมบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของ พระตถาคตบ้าง ดังนี้ พึงกล่าวถึงสมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของ พระอริยะบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพรหมบ้าง ธรรมเป็นเครื่องอยู่ของพระตถาคตบ้าง ภิกษุ เหล่าใดเป็นเสขะยังไม่บรรลุอรหัตผล ย่อมปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยมอยู่ สมาธิอัน สัมปยุตด้วยอานาปานสติ อันภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเหล่าใดเป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงแล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสังโยชน์ เครื่องนำไปสู่ภพแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ สมาธิอันสัมปยุตด้วยอานาปานสติ อัน ภิกษุเหล่านั้นเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน และ เพื่อสติสัมปชัญญะ
อานิสังสวรรค - กิมัตถิยสูตร
ดูกรอานนท์ ...
ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ ฯ
อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ฯ
ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ ฯ
ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ฯ
ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ ฯ
สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิเป็นอานิสงส์ ฯ
สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณ ทัสสนะเป็นอานิสงส์ ฯ
ยถาภูตญาณทัสสนะมีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทา วิราคะเป็นอานิสงส์ ฯ
นิพพิทาวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณ ทัสสนะเป็นอานิสงส์
ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นผล มีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์ อวิปปฏิสารมีปราโมทย์เป็นผล มีปราโมทย์เป็นอานิสงส์ ปราโมทย์มีปีติเป็นผล มีปีติเป็นอานิสงส์ ปีติมีปัสสัทธิเป็นผล มีปัสสัทธิเป็นอานิสงส์ ปัสสัทธิมีสุขเป็นผล มีสุขเป็นอานิสงส์ สุขมีสมาธิเป็นผล มีสมาธิ เป็นอานิสงส์ สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะเป็นผล มียถาภูตญาณทัสสนะ เป็นอานิสงส์ ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาวิราคะเป็นผล มีนิพพิทาวิราคะเป็นอานิสงส์ นิพพิทาวิราคะมีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นผล มีวิมุตติญาณทัสสนะเป็นอานิสงส์ ด้วยประการดังนี้
ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหัตโดยลำดับ ด้วยประการดังนี้แล ฯ
-----------------------------------------------------------------------------------
สนทนาธรรม
นิพพาน คือ สุดปลายทาง
ทำภาระกืจ นึงเสร็จสิ้น
จิตที่ว่างจิตที่ไม่เกาะเกียวกับสิ่งใดเป็นพระอรหันต์มั้ย
สติ ที่บริสุทธิ์ ด้วยญานทัสสนะ
ก้าวข้ามแล้วจากอุปทานและสมมติ
จิต จึงไม่มี
สติปนิสุทธิ์
สติปริสุทธิ์ ด้วยญานทัสสนะ จะเ็นสมมติ ทั้งหมด แม้จิตก็เป็นสมมติ
สติปริสุทธิ์ ด้วยญานทัสสนะ จะเห็นสมมติ ทั้งหมด แม้จิตก็เป็นสมมติ
สติปริสุท แยกกัน คนละด้าน กับจิต
จิตอยู่ในส่วนของสัตว์
สติปริสุทธิ อยู่เหนือ ทุกสมมุจิ
เพราะจิตอรหัน ไม่มีโมหะ โทสะ โลภะ มานะ เจือปน จิตนี้นจึงว่าง ผลคือ จิตไม่สืบต่อ
สติปริสุทธิหรือญานทัสสนะจะเห็นสิ่งนี้ชัดเจนอยู่ตลอดเวลา
นี่คือ นิพพาน
คือบรรลุกิจ แห่ง มหาสติ
ไม่มีกิจใดเกินไปกว่ากิจนี้แล้ว
สุดท้ายอาศัยความบริสุทธิ์เข้านิพพาน เหมือนพระพุทธเจ้าองต์ก่อนไ
ที่เรียกว่า สายศรัทธา
แม้สายปัญญาของพระพุทธเจ้าโคตะมะ ท่านก็กล่าวไว้เช่นกัน
ด้วยอาศัยพรหมวิหาร๔ เข้าสู่นิพพาน ในที่สุด
สติปริสุทธ จะเก็นจะเห็นสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมิตรสหาย
ไม่ทำร้ายกัน
มหาศีลคือละขาด ไม่มีข้อยกเว้น
แต่เป็นไปเพราะไม่ใช่กำหนด
มันเป็นของมันแบบนั้น
มหาศีลนั่นแหละ ที่จะนำพา พรหมวิหาร๔ ที่บริบูรณ์
และเข้าสู่สถาพอรหัน อย่างแท้จริง
เริ่มต้นด้วยศีล และจบลงด้วยศีล
จึงเป็นปกติ เช่นนี้
จิตว่าง นั่นยังไม่ใช่อรหัน
แค่พรหมลูกฟัก
อรหัต อย่างที่บอก ตามนั้น
สติปริสุทธิหรือญานทัสสนะจะเห็นสิ่งนี้ชัดเจนอยู่ตลอดเวลา
บวกกับพรหมวิหาร๔ ที่สมบูรณ์แล้ว
นี่แหละคือปกติอย่างแท้จริง
:แต่ในสายพระอาจารย์ใหญ่ แตกต่างมาก
:ท่านจะส่งเข้าสู่ปรินิพพาน ในที่สุด
:ขณะที่ อรหันต์ท่านอ่ื่นไม่ทำ หรือทำไม่ได้
:วาระสุดท้ายท่านจะนำพา พรหมวิหาร๔ที่บรบูรณ์ให้ประสบ
:เมื่อนั้นแหละ ปรินิพพานไปเลย