![]()
แม่เป็นแม่ที่โชคดีมาก ที่ได้อยู่เห็นลุกตัวเองเป็นอรหันต์ในคราบของฆราวาส หาได้น้อย แสนล้านคนจะมีปรากฏมาคนเดียว
ในช่วงเวลา4ปีที่เหลือของแม่ เราเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แม่แล้ว เราใฃ้เวลาทุกขณะลมหายใจของเราและแม่ให้ดีที่สุดแล้ว เวลาของแม่หมดไปแล้ว ... ต่อไป เวลาของเรา ก็จะหมดตามเช่นกัน ... ... ... ณ วันเวลาที่หมดของเรา เราปรารถนาให้ได้ใช้เวลากับแม่แบบนั้นอีกครั้ง
เราเกิดมาเพื่อใช้ร่างกายนี้ เพียงเพื่อ นำพาเข้าสู่ การนิพพานแม่มักชอบพูดว่า เจริญสุข เจริญสุข
เห็นจริง แทงตลอด ต่อโทษ ของการเกิดแก่เจ็บตาย (วัฏฏะสังขาร) และการนำพาไปสู่การเกิดแก่เจ็บตายครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นของหนัก เหนื่อยเปล่า
ไม่ใช่ การตัดใจ หรือ ใจตัด แต่เป็นการเห็นจริงด้วยปัญญาแห่งจิต (ยถาภูตญาน) ของ วิบากในการเกิดแก่เจ็บตาย จึงอิสระออกจากทุกสมมุติมีจตุตถฌานภายใต้ธรรมชาติอันสงบและปราณีต ทำให้อยู่สบาย ขณะมีอายุขัยและไออุ่น
เมื่อเข้าใจ และ เข้าถึงเช่นนี้ สัมมาทิฏฐิ จึงฝังรากสู่ มหาสติ
จิต คือ การแล่นไป ของ อารมภ์
อยู่ระหว่างรอยต่อของอารมภ์ หรืออีกนัย วิญญาน เป็นเหมือนทิศทางส่งต่อ
พุ่งไปยังเป้าหมายใหม่ๆ ตลอดเวลา
เราจึงมัก เห็นแต่อดีตของจิต ไม่เคยเห็นปัจจุบันของจิต
จะเห็นปัจจุบันของจิต เมื่อจิตหยุดนิ่ง คือ ไม่มีการแล่นไปของอารมภ์
ความจืด ความไม่มีอะไร ของธรรมชาติอันสงบ สภาพธรรมชาติอันสงบ จะดูดกลืน รสชาติ แห่ง มลทิน ให้มลายหายไป
เราเองก็เหมือนต้นไม้ ที่แม่ หมั่นรดน้ำ ดูแลรักษา ทะนุบำรุงอย่างดี
เอาใจใส่ ให้เจริญงดงาม แม้ช่วงเวลาสุดท้าย
แม่ไม่อยู่ตรงนี้แล้ว จัดการสิ่งของของแม่ให้เสร็จสิ้น
มองสิ่งต่างๆรอบตัว ให้เป็นสิ่งภายนอก จึงไม่เกี่ยวพันสู่ภายใน หากมองสิ่งต่างๆเป็นภายใน ก็จะไปนยึดเข้าใจผิดว่าเป็นของของเรา เป็นตัวเรา
สังขาร = การวนในเกิดแก่เจ็บตาย สุขทุกข์ อาลัย
วิญญาน = พลังงานชีวิต
นามรูป = ร่างกาย
สฬารยตนะ = อวัยวะรับ
ผัสสะ = การกระทบของ สฬารยตนะ และ สิ่งภายนอก
จาก วิญญาน สู่ ภพ คือความตาย
ภพดับ เพราะ อุปาทานดับ
อุปาทานดับ เพราะตัณหาดับ
ตัณหาดับ เพราะเวทนาดับ
เวทนาดับ เพราะผัสสะดับ
ผัสสะดับ เพราะสฬารยตนะดับ
สฬายตนะดับ เพราะนามรูปดับ
นามรูปดับเพราะวิญญานดับ
สิ้นพลังงานชีวิต สิ้นการรับรู้ มีอยู่
เป็นขณะๆ ก็มีอยู่
ดับหมด ไม่มีเหลือ ก็มีอยู่ ... ดับตลอดสาย เพราะไม่มีอวิชชาเหลืออยู่
อวิชชา คือ การไม่รู้ว่าจะดับอะไร และจะดับอะไรยังไง
อวิชชา คือ การทำให้ปนเปิ้อน ความละโมบ ความโกรธ และ ความหลงลืมสติ
อวิชชา คือ อุปาทานในขันธ์ เป็นการเกาะเกี่ยวขันธ์5 จากปัญญาที่ไม่รู้ ยังไม่มีปัญญาตรงนี้
จะออก อวิชชา ด้วย ให้จิตมีอารมภ์เดียว
![]()
![]()
![]()
![]()
![]()
เมื่อเราอายุ 77 ปี ในปี 2041
วันข้างหน้า เราจะแก่เหมือนแม่ของเราที่เคยเป็น
เราจะระลึกถึงแบบที่เราทำให้กับแม่ เหมือนมีคนทำให้กับเราเอง ถึงวันที่ เราเคยพูดสิ่งต่างๆ กับแม่ และกระทำสิ่งต่างๆ ให้แม่เห็น และการดูแลเอาใจใส่แม่ในช่วงสุดท้าย
เราจะระลึกถึงสถานที่ต่างๆ ที่เรากับแม่ไปด้วยกัน ในช่วงสุดท้าย
สภาพเราตอนนั้น ก็เหมือนแม่ ซูปผอม ไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีกำลังกาย ในการทำกิจกรรมต่างๆ
่
พรุ่งนี้อยู่ไม่ไกล พรุ่งนี้ก็คือวันนี้
ทรัพย์สิ่งของต่างๆ ไม่มีความหมายใดๆ อีกต่อไปแล้ว
มีเหลือเพียงจิตวิญญาน ชุดสุดท้าย
จิตวิญญาน แห่ง บัณทิต
ผู้ มีความรู้จาก การประสบสภาพที่สุดแห่งทุกข์ และประสบสภาพความเป็นจริงที่ปราศจาก การเกาะเกี่ยว
สิ่งที่เราทำให้กับแม่ช่วงนั้น จะเป็นอนิสงค์ย้อนกลับหาเรา ให้เรามีความรู้สึกอบอุ่น แบบนั้นอีกครั้ง เสมือนหนึ่ง เราคือแม่ที่ได้รับการเอาใจใส่แบบนั้น ทุกกระเบียดนิ้ว
ใช้เวลาใหมีค่า ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ นี่คือ ใช้เวลาให้เป็น ตามที่พระอาจารย์ใหญ่กล่าวโดยตรง แก่เรา
แม่จะยอกแก่เราเสมอว่า เตรียมการทุกอย่างให้ดี ให้มั่นคง ให้แน่นอนๆ เส้นทางที่เยือกเย็นอีกเส้นทาง สลัดออกทั้งหมด เพราะ
ประโยชน์อันสูงสุดต่อผู้อื่นได้กระทำเสร็จสมบูรณ์แล้ว
ประโยชน์อันสูงสุดต่อตนเอง ได้เสร็จสมบูรณ์เช่นเดียวกัน![]()
มีสำนึก ของการ #ไม่เกาะเกี่ยว กับ สิ่งแปรปรวนต่างๆ
มีสติโลกุตระ ปล่อยผ่าน สภาพจรผ่านมาทั้งหลาย
4ปี 2013-2017 ที่แม่อยู่กับเราในขณะเราได้เริ่มปฏิบัติธรรม แม่ทั้งเอื้อเฟื้อ ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ ให้เรา ได้ปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ แม่ได้สัมผัส ได้รับรู้ ได้เรียนรู้ธรรมในขั้นสูง ร่วมกับเรา แม้เราจะบอกแม่ว่า แม่ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เดวทุกอย่างเราจะทำเองหมด แม่แค่อยู่เฉยๆ แต่แม่ยังบอกว่า แม่ยังอยู่แม่ยังช่วยทำนั่นทำนี่ให้ได้ปลงได้ = ขาดออกอย่างเป็นธรรม , ทบทวนเหตุและปัจจัย เหตุและผล อย่างครบบริบูรณ์ จนสิ้นภาระหนักลงได้ สิ้นสิ่งค้างคาใจ
ก่อนลมหายใจสุดท้าย
ภาระกิจ ของเรา เสร็จเรียบร้อยแล้วอย่างบริบูรณ์ และถูกทาง ตรงเส้นทาง อย่างถูกต้อง เสร้จสิ้นทุกอย่างเท่านี้ ไม่ต้องอะไรอีกต่อไปแล้ว
ทริปใหญ่ ไปชะอำ 2017
หมวดธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะกิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ภิกษุนั้นทำเสร็จแล้ว และภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ควรเพื่อจะประมาท. เรากล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้ ข้อนั้น เพราะเหตุไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเราเห็นผลแห่งความไม่ประมาทของภิกษุนี้เช่นนี้ว่า ไฉนท่านผู้นี้ เมื่อเสพเสนาสนะที่สมควร คบหากัลยาณมิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ พึงทำซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่าที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบ ต้องการ ให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองได้ในปัจจุบัน แล้วเข้าถึงอยู่ดังนี้ เราจึงกล่าวว่า กิจที่ควรทำด้วยความไม่ประมาท ย่อมมีแก่ภิกษุนี้
การพ้นวิเศษ คือ อนุปาทาวิมุตฺโต
คือพ้นออกทั้งหมด ทั้งกายและใจ สงบได้ทั้งกายและใจ ข้ามพ้นได้ทั้งกายและใจ และ ดับสนิททั้งกายและใจ ด้วยรู้และแยกแยะได้ ซึ่งสังขารและนิพพาน (สมฺมทญฺญา วิมุตฺโต) นั่นคือ ผลของ ฌานสมาธิ(ถึงสัญญาเวทยิท) และ ปัญญาแทงตลอดถึงยถาภูตญานจากญานทัสสนะวิสุทธิ
ทสฺสนานุตฺตริเยน ปฏิปทานุตฺตริเยน วิมุตฺตานุตฺตริเยน
(ทัศนคติยอดเยี่ยม การปฏิบัติยอดเยี่ยม หลุดพ้นยอดเยี่ยม) ... นี่คือ อริยะทรัพย์ที่ยอดเยี่ยม![]()
![]()
อรหันต์ มีเพียงเท่านี้ อันเป็นคุณ 3 ประการ
ทสฺสนานุตฺตริเยน ปฏิปทานุตฺตริเยน วิมุตฺตานุตฺตริเยน
(ทัศนคติยอดเยี่ยม การปฏิบัติยอดเยี่ยม หลุดพ้นยอดเยี่ยม)
ทั้งอดีตกาล ปัจจุบันกาล และ อนาคตกาล
อดีตกาลอย่างไร
เห็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว เป็นไปอย่างใสสะอาด เป็นไปอย่างเป็นธรรม เหมาะแล้ว สมควรแล้ว ตามเหตุและปัจจัย
ปัจจุบันกาลอย่างไร
มีความมั่นคง ไม่่แปรปรวน ใดๆ
อนาคตกาลอย่างไร
มีความมั่นคง ไม่แปรปรวน ใน อริยะมรรคมีองค์8
มีความคิดเห็นต่อการแปรเปลี่ยน เป็นไปตามเหตุและปัจจัย ณ ขณะ
ก็อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าอริยะ?
เหล่าอกุศลธรรมอันลามก อันให้เศร้าหมอง นำให้เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไปห่างไกลภิกษุนั้น อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า อริยะ.ก็อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าอรหันต์?
เหล่าอกุศลธรรมอันลามก อันให้เศร้าหมอง นำให้เกิดในภพใหม่ ให้มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ ให้มีชาติ ชรา มรณะต่อไป อันภิกษุนั้นกำจัดเสียแล้ว อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า อรหันต์.
เวลาที่แม่กับอ๊อดใช้ด้วยกัน
- ไปแบงค์ด้วยกัน
- พาดิดดี้ไปหาหมอฉีดยาด้วยกัน
- ไปซื้อของที่ แมคโครด้วยกัน
- ไปกิน ที่เซนทรัล ด้วยกัน
- ไปกิน ที่เดอะมอลล์บางแค ด้วยกัน
- เอาหนูไปปล่อย
- ไปกิน บะหมี่ เกี๋ยวด้วยกัน
- ไปกิน ราดหน้า ผัดซีอิ้ว ด้วยกัน
- ไปกิน ข้าวมันไก่ ด้วยกัน
- ไปกิน กุ้งเผา ที่มหาชัยด้วยกัน
- ไปกิน ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ด้วยกัน
- ไปซื้อ เป็ดย่างที่ ก๊กกี่ และบางทีก็แวะเข้าไปดูบ้านหลังเก่า
- ไปนั่งกิน กาแฟ ที่เดอะมอลล์บางแค
- ไปนั่งกิน กาแฟ ที่ปั้ม JETT ตอนหลังเปลี่ยนเป็น ปตท
- ไปนั่งกิน กาแฟ กันที่ใหม่ ตรง แฟมิลี่มาร์ท
- ไปบางขุนเทียนชายทะเล นั่งรถชมวิว กินน้ำตาลสด ปลาหมึกย่าง ข้าวเกรียบกุ้ง ขาไปเราชอบที่แวะกินไก่ทอดหาดใหญ่ที่ปั้ม หรือ ไส้กรอกเยอรมันที่ปั้ม ปตท กัน
- ขับรถไปกินร้านตาเขี่ย ก๋วยเตี๋ยวเส้นปลา ที่บุ้งแนะนำ แถวมหาชัย ผ่านโรงงานของบุ้ง
- ได้ฟังเพลงโปรด เพลงเก่าๆ ในรถร่วมกัน เราไม่ได้เล่นกีต้าร์แล้ว สมัยรุ่นๆจะร้องเพลง แม่ก็จะฟังด้วย ถึงตอนนี้เราก็ได้แต่ร้องตามเพลงให้แม่ได้ฟังเสียงร้องของเรา
นักร้องส่วนใหญ่ที่ฟังกัน เราบอกแม่ว่า คนนี้ก็ตายไปแล้ว คนนั้นก็ตายไปแล้ว เช่น คาร์เพนเตอร์, ้เกลน แคมเบล, แฟรง ซิเนตร้า, และอีกหลายคน ที่ร้องเพลงดังๆ สมัยเรายังเป็นทารก
- ใช้เวลาที่บ้าน เปิดหนังพระพุทธเจ้าให้แม่ดู สารคดีอวกาศให้แม่ดู-แต่แม่ชอบจะดูสัตว์ป่ามากกว่า แต่ถ้าแม่ยังต้องไปเกิดอีก ความรู้เหล่านี้จะติดจิตแม่ไปด้วย ... แต่ตอนนี้แม่ไม่ต้องไปเกิดแล้ว ไม่ต้องใช้แล้ว เพราะแม่คือสิ่งนั้น แม่คือทุกสิ่งทุกอย่าง แม่อยู่ทุกที่