ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลาย ย่อมหลั่งไหลไปสู่ธรรมทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายย่อมยังธรรมทั้งหลายให้บริบูรณ์ เพื่อจากเตภูมิกวัฏอันมิใช่ฝั่งไปถึงฝั่ง คือ นิพพานด้วยประการดังนี้แล ฯ
เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติภายใต้ความแปรปรวนไปสู่การจบสิ้นสภาพ. - ขอจง มีลมหายใจแม้แผ่วเบา ได้สุดขั้ว กันเถิด.
ศึล - อินทรี - อาหาร - ชำระจิตให้ตื่นอยู่เสมอ
อำพล จงสิทธิผล
Ampol Chongsitthiphol
เสียสละ ... อดทน ... รับวิบากผู้อื่นไว้บ้าง ... ... แต่มันเหนื่อยนะ เหนื่อยสุดสุดเลยมึง
คำสั่งสอนจาก... พระอาจารย์ใหญ่
เมื่อเข้าสู่ ความนิ่งอันประเสริฐ แล้ว อินทรีย์สงบ จิตระงับ (การสลัดคืน จะเกิดตามมา) จะมีสภาพ ลำดับนี้
  • วิสุทธิ คือ สภาพใจสะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส ผุดผ่อง บรรเจิด ภายใน (และมีอนิสงค์ ต่อกายภายนอกในภายหลัง)
  • วิมุตติ คือ สภาพใจเป็นอิสระจาก สภาพแวดล้อมที่เจือด้วยภพ (ส่วนผสมโมหะ โทสะ โลภะ)

    มีนิพพาน เป็นที่สุด หรือ ปลายทางแห่งทุกข์ เส้นทางจิตจบลงแค่นี้ ด้วย ญานทัสสนะอันหมดจดเกลี้ยงเกลา

  • นิพพาน การอยู่ในสภาพไม่มีการก่อเกิด
    ( อันมาจาก ไม่คิดต่อ ปรุงแต่งต่อ เพราะตัวทำให้คิดต่อปรุงแต่งต่อคือ ตัวโมหะ โทสะ โลภะ)

กัลญานมิตรที่ดี ... ควรเป็นผู้มีวาจาไพเราะ เป็นที่ปรึกษาที่ดี และ เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำ
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา๕ วิโมกข์๘ และ อภิญญา๖ พึงทำให้แจ้งชัด

การปฏิบัติธรรม และศาสตร์ประกอบ
เส้นทางธรรมเริ่มต้น 3 มค 2557 กับ พระครูพิทักษ์ศาสนวงศ์ ผู้ทำให้เห็นและประสบจริงซึ่งอภิญญา
ขอกราบนมัสการระลึกในเมตตาอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ณ ที่นี้

การทำสมาธิและเข้าถึงนิพพาน เป็นคุณวิเศษที่มีอยู่แล้วในตัวทุกคน อยากประกาศให้ชาวโลกรู้กันทั่วทุกคนเสียเหลือเกิน
ใครเข้ามาเจอเวบนี้แล้วอ่านแล้วสามารถเข้าใจและเข้าถึงได้ ถือเป็นวาสนา ขออนุโมทนาด้วย จักขอแนะนำและรวบรัด ดังนี้

 

พุทธะ คือ ความสว่างในความจริง เจิดจ้าแล้วในความจริง แจ่มแจ้งในความจริง เป็นแสงสว่างอันมีอิสระ ไม่เป็นทาสแห่งเรือนกาย
(แจ่มแจ่งในความจริง ระหว่างกาย และ จิต)
จริงๆ แล้ว พุทธะ คือ มุมมองของจิต สติ คือ ทำให้จิต คงมุมมอง ของ พุทธะ เอาไว้ นั่นเอง

ความจริง คือ ความเป็นไปตามธรรมชาติ ในด้านของความเป็น สัตว์มนุษย์ ปัญญามนุษย์ ในการถูกครอบงำ ในการจมอยู่ -กับ- สิ่งล่อใจภายใน (โมหะโทสะโลภะ) และ การมองภาพรวมเห็นการครอบงำทั้งหมด

 

การมีรสชาติร่วมกัน ดังเช่น ชอคโกแลตโดดๆมีรสชาติขม ชอคโกแลตจะออกรสชาติได้ดี เมื่อมีน้ำคาล

สรุปได้ว่า จริงๆแล้ว พระพุทธเจ้า ต้องการให้ เข้าใจความหมายของ พุทธะ ด้วยจิต ด้วยการ ลงมือทำดูเอง

การอยากที่จะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น จะได้ลิ้มรส จะได้สัมผัส จะได้รู้จะได้อารมภ์ เป็นตัวฟอร์มภพเตรียมไว้ รอผู้แสดง เข้าไปแสดง จึงเป็นชาติ การเกิด เพื่อเสวยอาการ นั้นๆ ปัจจัยของมันคือ นิวรณ์ทั้ง5

  • กามราคะ (passion)
  • พยาบาท (Anger)
  • ถีนะมิทธะ Z(Negative Mood and Tired)ขี้เกียจ เหนื่อยล้า
  • อุธัจจะกุกุกจะ (Thinking and Plans) คิดวกไปวนมา และหมายกำหนดการ
  • วิจิกิจฉา (Query) คำถามต่างๆนานาที่ผุดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ
นี้คือ ความอยากในอารมภ์ ที่ต้องการพัวพันในราคาะ ที่ต้องการจมในความเคียดแค้นเบียดเบียน ที่ต้องการจมในความหดหู่ไม่เบิกบานเหมือนโดนสะกด ที่ต้องการทำให้สมองนั้นวุ่นวายไม่หยุดนิ่ง ที่ต้องการหาคำตอบในสิ่งต่างๆอยู่ร่ำไป

 

การหลุดพ้น

  • หลุดพ้นด้วยการข่มไว้ ด้วยการเข้าฌาน4สมบูรณ์ เรียกว่า วิกะขัมภะนะ
  • หลุดพ้นด้วยองค์นั้นๆ ด้วยการชำแรกกิเลสหรือสิ่งนั้นๆ ในฌาน เรียกว่า ตะทังคะ
  • หลุดพ้นด้วยการตัดขาด การทำลายสังโยชน์ด้วยโลกุตตะระมรรค เรียกว่า สมุดจะเฉท
  • หลุดพ้นด้วยความสงบ ด้วยผลของความสุขใจของบุคคลจากผลการปฏิบัติ เรียกว่า ปฏิปัดสัทธิ
  • หลุดพ้นด้วยการสลัดออก ด้วยการดับขันธ์ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ เรียกว่า นิสสรณ์

การรวมจิตเป็นอารมภ์เดียว กระทำด้วย รู้สึก-นึกคิด-อารมภ์
แห่งการ ดำรงศีล ดำรงสมาธิ ดำรงปัญญา ย่อรวมก่อเกิดเป็น สติ ที่ อก ลมหายใจ หัวใจ เป็นอารมภ์
โดยวิสุทธิและวิมุตติ เป็น สภาวะแวดล้อม

 

อินทรีย์สงบ จิตระงับ


สติมั่นคง คือ สมาธิ
Organs Calm, Mind deaden / abate / settle / quell / forbear / withhold / refrain

คือ อวัยวะภายในทั้งปวง ไม่มีการกระตุ้นตัวเอง หรือ ถูกกระตุ้น และ จิตใจให้หยุดด้วยการนึกคิด
ด้วยสิ้นสงสัย หมดสิ้นความแคลงใจ คลายความต่อเนื่องเบื้องหน้าหมดลง ณ ปัจจุบัน จึงไม่มีภพต่อ ชาติต่อ
เมตตาด้วยการนำพาผู้คน ให้ประสบกับ ความเบิกบานแช่มชื่น สมปราถนาคือความไร้กังวล

กรรมเก่านั้น มีอิทธิพล ถ่ายทอดลงสู่ เซลเนื้อเยื่อทุกอณู และตกค้าง
และแฝงจิตบางส่วนของเจ้ากรรมนายเวร ณ ที่นั้น ทำให้เชื่อมการผูกพัน
อันมาภพก่อนและอดีตชาติหนหลัง ถ่ายทอดลงขณะกำเนิดก่อรูปร่างขึ้น หรือแม้แต่สะสมใหม่หลังกำเนิดแล้ว
การได้เข้าไปเห็นกรรมเก่าในอดีต นับเป็นก้าวแรก ที่ได้รู้จัก กรรมนั้นๆ
เป็นหนทางนำไปสู่ การขจัดปัดเป่า ออกได้ ด้วยความบริสุทธิ้ แห่งความสงบลงได้
เริ่มจากลมหายใจ หัวใจ และม่านตาคลาย นำความบริสุทธิ์เข้าสู่ทุกอณูเซล
นี้คือความหมายแห่ง กุศลธรรม หรือกล่าวอีกนัย ส่งผลดี ส่งผลสงบ ต่ออินทรีย์

 

อาศัย คลายอวิชชา เพราะเกิดความรู้ขึ้นที่จิต จึงตัดสายโซ่ก่อเกิด ตัณหา อุปทาน ได้

ตัดรากถอนโคน ปัจจัยปรุงแต่ง แห่ง ภพต่างๆ

วิหารธรรม ของเราคือ ความนิ่งอันประเสริฐดั่งภูผาหิน สิ่งที่ผุดขึ้นมาจะมาพร้อมกับปัจจัยปรุงแต่ง (โมหะ โทสะ โลภะ) มันคือภพ คือที่บรรจุส่วนผสมของปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งภพนี้คืออนัตตา ไม่ได้เป็นอะไรของใครเลยๆ เป็นเพียงความว่างเปล่าที่บรรจุปัจจัยปรุงแต่งปรากฏขึ้นมาลอย ไม่มีตัวตนแล้วสลายไป การผุดขึ้นมาของภพเหล่านี้นั้น เปรียบเสมือนเม็ดสีผสมหลายแสนหลายล้านเม็ดที่เตรียมยิงออกมาเป็นชุดๆเรียงตัวแบบต่อเนื่องใหม่ ความสืบเนื่องนี้มาจากความไม่รู้ไม่เห็น ความจริงเกี่ยวกับปัจจัยปรุงแต่งที่ถูกบรรจุเก็บในเม็ดสีนั้นๆ

การถอนรากถอนโคน ไล่จาก ถพ ไปหา อุปาทาน ตัณหา ในลักษณะปัจจัยปรุงแต่งเช่นเดียวกัน รื้อย้อนไปถึง อายตะนะ อวิชชาเลย

ความเสียสละ แต่วัยเด็ก ทำให้เราลืม สภาวะนี้ไปนานมาก เลย

การแยกออกโดยสิ้นเชิง แห่ง เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ คือ แยกออกทั้ง จิตและปัญญา อย่างไม่แคลงใจ ความหยาบละเอียดของแต่ละคน ในการแยกออกได้ ไม่จำเป็นต้องเท่ากัน หรือ แบบเดียวกัน ขึ้นกับ สภาพการคลายใจแบบปลดวาง และความมั่นคงของสติ ที่ทรงเสถียรคงไว้ตรงนั้นได้ หรือ ที่เรียกว่า กำลังของสติเป็นอัตโนมัติ หรือ เป็นความเคยชิน หรือ เป็นนิสัยสันดาน ตลอดเวลาหรือไม่ ถ้าเป็นตลอดเวลาแสดงว่าใจเปลี่ยนสภาพแบบสมบูรณ์แล้ว และนี่คือ สภาพใจอันมีวิหารธรรมแห่งการแยกออกโดยสิ้นเชิง โดยการตัดรากถอนโคน เราจะทำนิโรธะคามินีปฏิปาทา ตรงนี้

แล้ว จิตเปิด เสมือน ดอกบัวบานรับแสงอรุณ

ถึงแม้จะต่างกันในการเส้นทาง แต่ปลายทางนั้นเหมือนกันทุกประการ หรือ ในนิพพานนั้น ระดับจิตเสมอกัน

 
การหลงใหลจมอยู่ในห้วงกิเลส เสมือนเด็กที่ยังหลงไหลในของเล่นชิ้นโปรด เมามัว ไม่ลืมตา จมอยู่ในน้ำ เหตุเพราะ ยังไม่รู้จักความสงบ ที่จะนำพาไปให้เห็น ฉุดขึ้นมาให้เหนือน้ำ เพื่อให้เห็น ออกห่าง การลุ่มหลงมัวเมา โลภโมหโทสัน ตัณหา อุปาทาน ภพ เป็นสิ่งเดียวกับ รู้สึก นึกคิด อารมภ์ การนึกถึง คิดถึง สิ่งใดๆ ก็เป็น ภพ ไปแล้ว ผสมเจือด้วย โมหะโทสะโลภะเป็นรากฐาน รวมตัวกันก่อเกิดเป็น นิวรณ์ บรรจุอยู่ในภพ
ความไม่สมบูรณ์ ของสิ่งหวังต่างๆ เป็นอาการจิตอาพาธ แม้ได้สิ่งหวังมาแล้ว แต่เหมือนมีอะไรขาดหายไปไม่เต็มสักที สิ่งที่ขาดหายไปนี้ คือ นิพพาน นั่นเอง เมื่อเข้าถึง นิพพาน แล้ว จิตนี้จะเติมเต็มทุกอย่างที่มันขาดหาย และไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว จะอยู่กับ กำไร แห่งชีวิต

 

  • สภาพเดิม (ความเป็นปกติ ไม่ถูกกระตุ้น หรือ กระตุ้น) กับ สภาพไม่เป็นปกติ (ถูกกระตุ้น และกระตุ้นในตัวเอง)
  • กิเลส ก็คือ ความไม่ปกติ หรือ สิ่งก่อเกิดความไม่เป็นปกติ โดยเป็นกลไกภายในที่ไปกระตุ้นและถูกกระตุ้น ด้วยคิด นั่นเอง
  • คิดว่า จะเป็นแบบโน้นแบบนี้ คิดว่า อยากได้นั่นอยากได้นี่ โดยลึกๆแล้ว คือ การกระตุกเต้นของหัวใจ ที่ตอบสนองต่อสิ่งกระทบ
  • เพราะเหตุปัจจัยในการรวมตัวเป็น ตัวรู้ เป็นอายตนะเปิดการรับรู้ จึงเกิดตัณหา
  • เพราะ เหตุปัจจัย จึงทำให้มีการก่อเกิด การรวมกันชั่วคราวของสภาวะ ดิน น้ำ ไฟ ลม
  • เพราะ อารมภ์และมานะ ทำให้มี ตัณหาและอุปาทาน เนื่องมาจากความไม่ปกติ ความไม่เป็นสภาพเดิม
  • สภาพเดิมนี้เอง คือ สภาวะอนัตตา ด้วยความเบาใจ ที่จะทำให้เห็นการไม่เกาะเกี่ยว กับ สภาวะต่างๆนานา ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา
  • หรือ เห็นความไร้ประโยชน์ ที่จะ คงไว้สิ่งที่จะไปเกาะเกี่ยวเข้ามาภายใน ให้เกิดความไม่เป็นปกติ

ทำกายให้สงบ จากทุกสิ่ง ไม่มีการกระตุ้นและถูกกระตุ้น อวัยวะใดๆ
ทำใจให้สงบ หยุดความคิดฟุ้งซ้านต่างๆนานา และ ข้อสงสัยทั้งปวง
เมื่อหัวใจเต้นช้ามากและเต้นเรียบแล้ว จะเกิดอาการเย็นชุ่มช่ำหัวใจ

รักษากาย รักษาใจ ให้ควรแก่งาน
ท้องนั้นพร่อง กาบสบายๆ ใจนั้นมีใจให้กับการเจริญธรรม คลายออกจากอดึต อนาคต ชั่วคราว


ลมหายใจ แผ่วเบาไม่ทันรู้สึก
หัวใจ เต้นเรียบเสมือนไม่เต้นกระตุก
ม่านตา ขยายเสมือนกายใจถูกปลดปล่อย
ท้องน้อย หดลึก
ไร้นึกคิด จิตมีอารมภ์เดียว จิตคือกาย กายคือจิต สะอาดบริสุทธิ์ กายคือกิเลสทิ้งมันทั้งดุ้นเลย

 


นิ่งดั่งภูผา จิตและกายรวมเป็นหนึ่ง มีสภาพเดียวคือแน่นนิ่งมั่นคง
คลายกาย คลายใจ ให้สิ้น เพราะมิใช่ที่ที่จะดำรงอยู่ แล้วทิ้งกายเสีย อยู่กับ ความว่างจาก โมหะ โทสะ โลภะ
ไม่สะทกสะท้านภายใน ต่อความกลัวใดๆ
แช่มชื่น ดั่งฝนพรำยามเช้า ดั่งท่ามกลางลมเย็นยามสายในฤดูหนาว

 


อริยะ อรหันต์ เป็นอย่างไรก็ช่างเถอะ
รู้ทัน โมหะ โทสะ โลภะ เมื่อจะเกิด แล้วปัดทันที
ตัดลูกโซ่การก่อเกิดภพ ที่ ตัณหา อุปาทาน / หยุดการก่อเกิดภพ รู้ทัน รู้สึก อารมภ์ นึกคิด
หมั่นพิจารณาโทษ ของการก่อเกิดเป็นสัตว์ครั้งแล้วครั้งเล่า พิจารณาภพของสัตว์ ความเป็นอยู่
ใช้ชีวิตอย่างปกติ หมายความว่า ลมหายใจ และหัวใจ ไม่กระเทือนภายใน ต่อผัสสะใดๆ ภายใต้โชคชะตาฟ้าลิขิต ต่อไป
เมื่อเสร็จกินทั้งหมดแล้ว จึงวางภาระทั้งสิ้นลง ไม่หันกลับมามองอีก เพราะมันไม่เคยเป็นของของเรา มันรอการสูญสิ้นดับไป ทั้งนั้น

 


ความสามารถทางอภิญญา ทั้ง6 นั้นมีอยู่แล้ว ฝึกความแข็งแกร่งต่อไป ด้วยสังโยชน์ 8 ได้เคยแสดงเป้นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้คนอย่างเป็นธรรมหลายครั้ง
ความสามารถถัดจากอภิญญา อีก 4 ชั้น ได้ปรากฏขึ้นแล้ว แต่กลับแข็งแกร่งกว่า อภิญญาทั้ง6
นิโรธสมาบัตินั้นรออยู่ เมื่อหัวใจ และ ลมหายใจ เรียบสนิทลง ตอนนี้หัวใจเต้น 42 แล้ว
สร้างกายทิพย์ ด้วยการ ปรากฏแห่ง วิญญาน ทั้งปวงแห่งกายทิพย์ ด้วย อากาสานัญาจายตนะ ด้วยปฏิภาคนิมิต การนั่งโดยสันโดษของพระพุทธเจ้า ในถ้ำอันอ้างว้างกว้างใหญ่ไพศาลอันเต็มไปด้วยมวลมารทั้งปวง

 



มีความรู้พร้อมหรือมีอยู่แล้วในอุปนิสัย ความรู้พิเศษ ที่มีความรู้รอบตัวยิ่งกว่า อภิญญา ๖ เรียกว่า อัชฌาสัยของท่านผู้ทรงปฏิสัมภิทัปปัตโต

  1. มีความสามารถทรงความรู้พร้อม ทั้งๆ ที่ไม่เคยศึกษาคำสอนมาก่อนเลย ตามนัยที่ปรากฏในพระสูตรต่างๆ ที่มาในพระไตรปิฎก
  2. มีความฉลาดในการขยายความในธรรมภาษิต ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยย่อให้พิสดารได้อย่างถูกต้อง
  3. ย่อความในคำสอนที่พิสดารให้สั้นเข้า โดยไม่เสียใจความ แล้วอัดฝังสู่จิตผู้อื่นได้
  4. สามารถเข้าใจด้วยจิต ในภาษาต่างๆ ทั้ง ภาษามนุษย์ หรือ ภาษาสัตว์

2556 - 2557 ถนนมุ่งสู่แก่นพุทธศาสนา ในขณะที่ยังมีกัลญาณมิตรคอยช่วยประคอง
ลมหายใจ แผ่วเบาไม่ ทันรู้สึก
หัวใจเต้น ห้วงลึก เรียบสลาย
ม่านตาเปิด สว่างจ้า เพราะผ่อนคลาย
ท้องน้อยผาย หดเข้าออก ลึกหยั่งเกิน

ไร้นึกคิด อารมภ์เดียว อันบริสุทธิ์
สะอาดดุจ น้ำใสใส ไม่ขุ่นหมอง
จิตคือกาย กายคือจิต ธาตุปรองดอง
ด้วยประคอง รวมหนึ่งเดียว จนมั่นคง

มั่นคงนิ่ง ดั่งภูผา ไม่ส่ายขยับ
ไม่สะท้าน กลับภายใน สิ้นกลัวหาย
แช่มชื่นดั่ง ฝนพรำ ยามเช้ากลาย
ดั่งยามสาย ห้วงลมเย็น แห่งเหมันต์

จวบลมหายใจ สุดท้าย ที่เคยฝึก
สติระลึก เฉพาะหน้า ปัดมัวหมอง
อันปัญญา ซึ่งมานะ มิต้องครอง
ที่หมายปอง ดับด้วย นิพพานเทอญ.

ไม่ยึดติดเป็นตุเป็นตะกับสิ่งใดๆ รู้การกระทบแปรปรวนแล้วดับไป เกิดขึ้นชั่ววูบแล้วเปลี่ยนไป ว่างหยุดไม่สืบต่อให้ดำเนินไป

จิตใหม่เกิด รับสืบของเก่าตามมา ตอนตาย ของเก่า(สัญญาเดิม ความรู้ อารมภ์ วิบาก) ไปผูกกับ สิ่งใหม่ๆที่อยู่ใกล้ๆ สิ่งใหม่นั้นซวย ไม่ใช่ของของมันแต่มันรับอะไรมาไม่รู้สืบสิ่งนั้นต่อๆ ไป กระโดดไปให้อายตนะตัวใหม่เมื่อเจอ นี่คือการสืบต่อส่งต่อ ไปให้จิตตัวใหม่

ทุกข์ คือ การสืบต่อกระแสความคิด (รู้สึก อารมภ์ นึกคิด)
เพราะหลง จึงกระตุ้น กระแสความคิด
เพราะพยาบาท จึงกระตุ้น กระแสความคิด
เพราะโลภเกินพอ จึงกระตุ้น กระแสความคิด จิต เป็นสมมุติ แทนกระแสความคิด แทนสิ่งที่กำลังสนใจ นั่นคือความคิดกำลังสนใจความคิด หรือ ใจกำลังสนใจใจ นี่เอง คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม กล่าวคือ ความคิดหนึ่ง(สนใจ)ให้ความสนใจกับความคิดอันหนึ่ง(ถูกสนใจ) หรือ ที่เรียกว่า ตัวรู้(คือ อาการให้ความสนใจ)

ที่สุดของทุกข์ คือ การหยุดการสืบต่อกระแสความคิด(เหตุ) นำพาไปสู่การหยุดต่อสภาพปฏิกริยาร่างกาย (ปัจจัย)

การรวมจิต ต้องใช้สื่อสัญญาหนึ่ง(บริกรรม ภาพ รส กลิ่น เสียง หรือ อารมภ์) เพื่อ ดึงกระแส รู้สึก อารมภ์ นึกคิด ของสิ่งนั้นขึ้นอย่างแจ่มชัด อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

การโยนิโสมนสิการ คือ ผู้น้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอน ไปสู่นิพพาน

นิพพาน มีลักษณะ อิสระทางใจ อิ่มเพียงพอแล้วทางใจ กับทุกสรรพสิ่ง จากการที่ได้เห็นสภาพความจริงของหลักเกิด-ดำรงอยู่-ดับของสรรพสิ่งทั้งหมด ปราศจากการปรุงแต่ง แยกออกแล้ว จากตัวตน(ยึดความอยากตัวเองเป็นหลัก) จากขันธ์ห้า

เวทนา ส่งผลให้ มีอาการทางกาย และ ใจ ด้วย อึดอัดภายในกาย วิตกภายในใจ การดับผัสสะ จนไม่รู้สึกถึงเวทนา รู้เพียงว่าเป็น อาการภายนอกที่เป็นไป ไม่ก่อให้เกิดเวทนา อึดอัดกายและใจ

อารมภ์ของความดี นำพาไปสู่ สัมมาสังกัปโป ทำให้มีวิริยะ ในการทำสิ่งที่ดี โดยมี ศรัทธา สติ สมาธิ เป็นฐาน เมื่อมีวิริยะ โดย มีสติ ทรงอยู่ในความดี มันจะ ปล่อยวาง ปล่อยวาง เป็นเอกเทศ จาก สิ่งทั้งปวง แม้แต่ตัวความดีเอง

สิ่งที่ดี นั้น เป็นประโยชน์ นั้น ควรหรือไม่ควร
ศีล สติ สมาธิ-ปัญญา ... เป็นไปเพื่อความสงบ

สภาพเกิด ความสนใจไปยังสภาพที่เกิดขึ้นนั้น (เป็นอดีตไปแล้ว) กระบวนการนั้นสมบูรณ์ เรียกแทนกระบวนการนี้ว่า จิต และ สภาพ เรียกแทนว่า วิญญาน


อวัยวะ(ดิน) เลือด(น้ำ) หัวใจ(ลม) ระบบประสาท(ไฟ)

เชื่อมั่น ในความจริง ปัดสิ่งหลอกลวงออก (imagine / illusion )


วิตก + วิจารณ์ = เงื่อนไขผูกมัด จับยึด (condition)

ทุกข์ เป็น แรงยันดาลใจ
แรงบันดาลใจ มีองค์ประกอบคือ อิทธิบาท4



http://sontanathum.chatango.com/


อทุกฺขมสุขํ
อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ
จตุตฺถํ ฌานํ
อุปสมฺปชฺช วิหาสึ ฯ
สัจธรรมแห่งชีวิต

ทำนายชื่อสกุล



รายการน่าสนใจ
ค้นหาคำในพระไตรปิฏก
จิตบรรลุนิพพาน
(สมเด็จพระญาณสังวร)

wunjun - ood
ibuddha - wix
บาลีเทียบเคียง
จิตวิทยา
ญานสังวรธรรม
แปลบาลี
ญาน กถา

sitePage1 = Home page


    •ข่มไว้ ด้วยฌาน4
    •ด้วยการชำแรก ซึ่งวัฏฏสงสาร
    •ด้วยการตัดขาดภายใน โดยโลกุตตะระมรรค
    •ด้วยสำราญความสงบ ปฏิปัดสัทธิ
    •ด้วยการสลัดออก ดับหัวใจลมหายใจ
    ไม่ประมาท กับปัจจุบัน
    ไม่ประมาท ซึ่งความตาย วินาทีนั้น
    ดำรงความจางคลาย กับปัจจุบัน

    มีแรงบันดาลใจแรงกล้า
    จึงเกิด มุมานะ--ตั้งใจมั่น --> รวมจิตได้

    หาลึกเข้าไปในจิต ซึ่งภาระที่ไม่ยอมวาง
    เมื่อวางลงเสียได้เมื่อไหร่ อิสระทันที

    การทำสมาธิแบ่งเป็น 2 ด้าน

  1. ทางกาย
    คือ กาย+เวทนา
    โดยทำให้ ลมหายใจแผ่วเบา และ หัวใจเต้นเรียบ เป็นการบำรุงร่างกาย และจิตใจไปในตัว และให้มีท้องพล่อง งดอาหารหลังเที่ยง นั่งนิ่งจนมีสภาพถูกล็อคแข็งแกร่งแต่ไม่เกร็ง มีความมั่นคง

  2. ทางใจ
    คือ จิตตา+ธรรมมา
    วิธีจะเข้าถึงโดยการ ตัดกายทิ้ง???
    คือการพยายามระลึกถึงปิติทั่วร่างกาย แล้วเข้าสู่อารมภ์ใดอารมภ์เดียวแห่งปฏิุภาคนิมิต

    การเข้าสู่นิพพาน
    ด้วยการตัดลูกโซ่แห่งการก่อเกิดที่ ตัณหา อุปาทาน ไม่ให้เชื่อมเกิด ภพ ได้ คือ หยุดคิด หลังจากค้นพบแล้วว่า การก่อเกิดทุกชนิดเป็นทุกข์เปล่าประโยชน์

สุขเพราะความสงัด,
สุขเพราะไม่เบียดเบียน,
สุขเพราะปราศจากราคะ ก้าวล่วงกามเสียได้,
สุดอย่างยอด คือการนำความถือตัวออกเสียได้.

พระไตรปิฏก4.ปฐมภาณวาร

อุปทานมีอยู่ แต่ไม่ถือตาม
ถือตามมีอยู่ แต่มีสติไม่ถือ

เพราะวิราคะ อวิชชาจึงดับ
--ปราศจาก โมหะ โทสะ โลภะ--
-คลายจาก ความอยากกระหายอันกดดัน-
เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ
--จึงหยุดคิด ไม่คิด--
เพราะสังขารดับ วิญญานจึงดับ
--ไม่ก่อเกิด กายใจสงบ--
เพราะวิญญานดับ นามรูปจึงดับ
--หัวใจจึงราบเรียบเสมอดับ--
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
--หัวใจไม่กระเทือน--
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
--หยุดการกระตุ้นอวัยวะ--
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
--ไม่ถูกกระตุ้น ไม่รู้สึก--
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ

เพราะเป็นปัจจัยจึงมี เพราะปัจจัยดับจึงดับ

๑. มีสิ่งหวงแหน (เช่น สตรี ) หรือไม่
๒. มีจิตผูกเวรหรือไม่
๓. มีจิตเบียดเบียนหรือไม่
๔. มีจิตเศร้าหมอง ( ด้วยกิเลส ) หรือไม่
๕. ทำจิตเป็นให้ไปในอำนาจได้หรือไม่

    เครื่องเกาะจิตอันเศร้าหมอง
  1. วิจิกิจฉา
  2. อะมะนะสิการ
  3. ถีนะมิทธะ
  4. ความหวาดเสียว
  5. ความตื่นเต้น
  6. ความชั่วหยาบ
  7. ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป
  8. ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป
  9. ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้น
  10. ความสำคัญสภาวะต่างกัน
  11. ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป

     

    withhold
    ระงับ, ยั้ง, ดอง, ไม่ยอมให้, ยั้งมือ

    settle
    ชำระ, ระงับ, ตกลง, กำหนด, ยุบ, เข้าที่

    quell
    ระงับ, ปราบ, ทำให้สงบ, ดับไฟ, ระงับอารมณ์ stay
    คอย, พักอยู่, หยุดอยู่, อาศัยอยู่, ยืนหยัด, ระงับ

    deaden
    ระงับ, ทำให้ชา, ทำให้มึน, ทำให้ไม่รู้สึก, ทำให้หย่อนลง

    forbear
    อดทน, หักห้าม, อดกลั้น, ละเว้น, ระงับ, ข่มใจ refrain
    ละเว้น, งด, ระงับ, ว่างเว้น, กลั้น, ข่มจิต

    mortify
    ระงับ, ฉีกหน้า, ทรมานร่างกาย, ทำให้บัดสี, ทำให้เสียใจ

    propitiate
    เอาใจ, ระงับ, ประจบประแจง, ป้อยอ, ปลอบ, บรรเทา

    abate
    บรรเทา, รา, ระงับ, รำงับ, ค่อยยังชั่ว, เบาบาง

    allay
    บรรเทา, ระงับ, ทำให้สงบ, ทำให้น้อยลง, คลายกังวล

    alleviate
    บรรเทา, ระงับ, แบ่งเบา, ทำให้น้อยลง, คลายใจ, ค่อยยังชั่ว

    assuage
    ระงับ, ทำให้บรรเทา, ทำให้ผ่อนคลาย, ค่อยยังชั่ว, น่าพึงพอใจ

    calm
    ใจเย็น, ระงับ, เงียบสงบ, ไม่ตื่นเต้น, ไม่มีลม, หงิมๆ