อุปักกิเลสสูตร พวกเธอต้องแทงตลอดนิมิตนั้นแล แม้เราก็เคยมาแล้ว เมื่อก่อนตรัสรู้ ยังไม่รู้เองด้วยปัญญาอันยิ่ง ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ ย่อมรู้สึกนิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปเหมือนกัน แต่ไม่ช้าเท่าไร นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของเรา ย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรนะ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปของเราหายไปได้ เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า วิจิกิจฉานั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็วิจิกิจฉาเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้นแลผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกนิมิตแสงสว่างและการเห็นรูป แต่ไม่ช้าเท่าไร นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของเรา ย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรนะ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปของเราหายไปได้ เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า อะมะนะสิการนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็อะมะนะสิการเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา และอะมะนะสิการ ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า ถีนะมิทธะนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ถีนะมิทธะเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อะมะนะสิการ และถีนะมิทธะ ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า ความหวาดเสียวนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความหวาดเสียวเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกล เกิดมีคนปองร้ายเขาขึ้นที่สองข้างทาง เขาจึงเกิดความหวาดเสียว เพราะถูกคนปองร้ายนั้นเป็นเหตุฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล ความหวาดเสียวนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความหวาดเสียวเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วนิมิตแสงสว่าง และการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อะมะนะสิการ ถีนะมิทธะ และความหวาดเสียว ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า ความตื่นเต้นนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความตื่นเต้นเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เปรียบเหมือนบุรุษแสวงหาแหล่งขุมทรัพย์แห่งหนึ่ง พบแหล่งขุมทรัพย์เข้า๕แห่งในคราวเดียวกัน เขาจึงเกิดความตื่นเต้น เพราะพบแหล่งขุมทรัพย์๕แห่งนั้น เป็นเหตุฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล ความตื่นเต้นนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความตื่นเต้นเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อะมะนะสิการ ถีนะมิทธะความหวาดเสียว และความตื่นเต้น ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า ความชั่วหยาบนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความชั่วหยาบเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อะมะนะสิการ ถีนะมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น และความชั่วหยาบ ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า ความเพียรที่ปรารภมุ่งมั่นเกินไปนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วนิมิตแสงสว่าง และการเห็นรูปจึงหายไปได้ เปรียบเหมือนบุรุษเอามือทั้ง๒จับนกคุ่มไว้แน่น นกคุ่มนั้นต้องถึงความตายในมือนั้นเอง ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไปนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แลความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วนิมิตแสงสว่าง และการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อะมะนะสิการ ถีนะมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ และความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เปรียบเหมือนบุรุษจับนกคุ่มหลวมๆ นกคุ่มนั้นต้องบินไปจากมือเขาได้ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วนิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อะมะนะสิการ ถีนะมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป และความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้นนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้นเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้วนิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อะมะนะสิการ ถีนะมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป และตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้น ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เรานั้นจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อะมะนะสิการ ถีนะมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้น และความสำคัญสภาวะ ว่าต่างกัน ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกนิมิตแสงสว่างและการเห็นรูป แต่ไม่ช้าเท่าไร นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปอันนั้นของเรา ย่อมหายไปได้ เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรนะ เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปของเราหายไปได้ เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปนั่นเอง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปเป็นเหตุ สมาธิของเราจึงเคลื่อน เมื่อสมาธิเคลื่อนแล้ว นิมิตแสงสว่างและการเห็นรูปจึงหายไปได้ เราจักทำให้ไม่เกิดวิจิกิจฉา อะมะนะสิการ ถีนะมิทธะ ความหวาดเสียว ความตื่นเต้น ความชั่วหยาบ ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไป ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไป ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้น ความสำคัญสภาวะว่าต่างกัน และลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไป ขึ้นแก่เราได้อีก) เรานั้นแล )รู้ว่า วิจิกิจฉาเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ วิจิกิจฉาตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ )รู้ว่า อะมะนะสิการเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ อะมะนะสิการตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ )รู้ว่า ถีนะมิทธะเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ถีนะมิทธะตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ )รู้ว่า ความหวาดเสียวเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ความหวาดเสียว ตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ )รู้ว่า ความตื่นเต้นเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ความตื่นเต้นตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ )รู้ว่า ความชั่วหยาบ เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ความชั่วหยาบตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ )รู้ว่า ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ )รู้ว่า ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ )รู้ว่า ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้นเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้นตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ )รู้ว่า ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ความสำคัญสภาวะว่าต่างกันตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ )รู้ว่า ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมอง จึงละ ลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองเสียได้ เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวแล แต่ไม่เห็นรูป เห็นรูปอย่างเดียวแล แต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืน และกลางวันบ้าง เรานั้นจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรนะ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้เรารู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวนั่น แต่ไม่เห็นรูป เห็นรูปอย่างเดียว แต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืน และกลางวันบ้าง เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า เวลาใด เราไม่ใส่ใจ นิมิตคือรูป ใส่ใจแต่นิมิตคือแสงสว่าง เวลานั้น เราย่อมรู้สึกแสงสว่างอย่างเดียวนั่นเอง แต่ไม่เห็นรูป ส่วนเวลาใดเราไม่ใส่ใจนิมิตคือแสงสว่าง ใส่ใจแต่นิมิตคือรูป เวลานั้น เราย่อมเห็นรูปอย่างเดียวนั่นเอง แต่ไม่รู้สึกแสงสว่าง ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เรานั้นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ ย่อมรู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย และรู้สึกแสงสว่างอย่างหาประมาณมิได้ เห็นรูปอย่างหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เราจึงมีความดำริดังนี้ว่า อะไรนะ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้เรารู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย และรู้สึกแสงสว่างอย่างหาประมาณมิได้ เห็นรูปอย่างหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เรานั้น ได้มีความรู้ดังนี้ว่า เวลาใด เรามีสมาธินิดหน่อย เวลานั้น เราก็มีจักษุนิดหน่อย ด้วยจักษุนิดหน่อย เรานั้นจึงรู้สึกแสงสว่างเพียงนิดหน่อย เห็นรูปได้นิดหน่อย ส่วนเวลาใด เรามีสมาธิหาประมาณมิได้ เวลานั้น เราก็มีจักษุหาประมาณมิได้ ด้วยจักษุหาประมาณมิได้ เรานั้นจึงรู้สึกแสงสว่างหาประมาณมิได้ และเห็นรูปหาประมาณมิได้ ตลอดกลางคืนบ้าง ตลอดกลางวันบ้าง ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวันบ้าง เพราะเรารู้ว่าวิจิกิจฉาเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละวิจิกิจฉาตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าอะมะนะสิการเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละอะมะนะสิการตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าถีนะมิทธะ เป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละถีนะมิทธะตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความหวาดเสียวเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความหวาดเสียวตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความตื่นเต้นเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความตื่นเต้นตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความชั่วหยาบเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความชั่วหยาบตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความเพียรที่มุ่งมั่นเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความเพียรที่ย่อหย่อนเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้นเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละตัณหาที่คอยกระซิบกระตุ้นตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าความสำคัญสภาวะต่างกันเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละความสำคัญสภาวะว่าต่างกันตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ รู้ว่าลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปเป็นเครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองแล้ว เป็นอันละลักษณะที่เพ่งเล็งรูปเกินไปตัวเกาะจิตให้เศร้าหมองได้ เรานั้นจึงได้มีความรู้ดังนี้ว่า เครื่องเกาะจิตให้เศร้าหมองนั้นๆของเรา เราละได้แล้วนั่นเอง ดังนั้น เราจึงเจริญสมาธิโดยส่วนสามได้ในบัดนี้