มหาเวทัลละสูตร การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตะวัน อารามของท่านอนาถะบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นเวลาเย็น ท่านพระมหาโกฏฐิกะออกจากที่หลีกเร้นแล้ว จึงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการทักทาย ปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ))เรื่องปัญญากับวิญญาณ ท่านพระมหาโกฏฐิกะครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงถามท่านพระสารีบุตรว่า ท่านผู้อาวุโส พระผู้มีพระภาคกล่าวว่า บุคคลมีปัญญาทรามดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอจึงกล่าวว่า บุคคลมีปัญญาทราม? ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ท่านผู้อาวุโส บุคคลไม่รู้ชัดเพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่า เป็นบุคคลมีปัญญาทราม ไม่รู้ชัดซึ่งอะไร ไม่รู้ชัดว่านี้ทุกขะ์ นี้ทุกขะสมุทัย นี้ทุกขะนิโรธ นี้ทุกขะนิโรธะคามินีปฏิปทา บุคคลไม่รู้ชัด เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า บุคคลมีปัญญาทราม. ท่านพระมหาโกฏฐิกะยินดีอนุโมทนาภาษิตของท่านพระสารีบุตรว่า ถูกละท่านผู้อาวุโสดังนี้แล้ว ได้ถามปัญหาต่อไปว่า ท่านผู้อาวุโส พระผู้มีพระภาคกล่าวว่า บุคคลมีปัญญาดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอจึงกล่าวว่าบุคคลมีปัญญา? )ตอบว่า ท่านผู้อาวุโส บุคคลรู้ชัดเพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่า เป็นบุคคลมีปัญญา รู้ชัดซึ่งอะไร รู้ชัดว่า นี้ทุกขะ์ นี้ทุกขะสมัย นี้ทุกขะนิโรธ นี้ทุกขะนิโรธคามินีปฏิปทา เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า บุคคลมีปัญญา. )ถามว่า ท่านผู้อาวุโส พระผู้มีพระภาคกล่าวว่า วิญญาณดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอจึงกล่าวว่า วิญญาณ? )ตอบว่า ธรรมชาติที่รู้แจ้งเพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่าวิญญาณ รู้แจ้งซึ่งอะไร รู้แจ้งว่า นี้สุข นี้ทุกข์ นี้มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ธรรมชาติย่อมรู้แจ้ง เพราะฉะนั้นจึงกล่าวว่า วิญญาณ. )ถามว่า ปัญญาและวิญญาณ ธรรม๒ประการนี้ปะปนกัน หรือแยกจากกัน ท่านผู้อาวุโส อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่? )ตอบว่า ปัญญาและวิญญาณ ธรรม๒ประการนี้ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน เราไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณรู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม๒ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน เราไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้. )ถามว่า ปัญญาและวิญญาณ ธรรม๒ประการนี้ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่มีกิจที่จะพึงทำต่างกันบ้างหรือไม่? )ตอบว่า ปัญญาและวิญญาณ ธรรม๒ประการนี้ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่ปัญญาควรเจริญ วิญญาณควรกำหนดรู้ นี่เป็นกิจที่จะพึงทำต่างกันแห่งธรรม๒ประการนี้. เรื่องเวทนาสัญญาและวิญญาณ )ถามว่า ท่านผู้อาวุโส พระผู้มีพระภาคกล่าวว่า เวทนาดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงกล่าวว่า เวทนา? )ตอบว่า ท่านผู้อาวุโส ธรรมชาติที่รู้เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่า เวทนา รู้ซึ่งอะไร รู้สุขบ้าง รู้ทุกข์บ้าง รู้สิ่งที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง ธรรมชาติย่อมรู้ฉะนั้น จึงกล่าวว่า เวทนา. )ถามว่า ท่านผู้อาวุโส พระผู้มีพระภาคกล่าวว่า สัญญาดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอจึงกล่าวว่า สัญญา? )ตอบว่า ธรรมชาติที่รำลึกนึกได้ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงกล่าวว่า สัญญา รำลึกนึกได้ซึ่งอะไร รำลึกนึกได้สีเขียวบ้าง รำลึกนึกได้สีเหลืองบ้าง รำลึกนึกได้สีแดงบ้าง รำลึกนึกได้สีขาวบ้าง ธรรมชาติย่อมรำลึกนึกได้ฉะนั้น จึงกล่าวว่า สัญญา )ถามว่า เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม๓ประการนี้ปะปนกัน หรือแยกจากกัน ท่านผู้อาวุโส อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่? )ตอบว่า เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม๓ประการนี้ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน เราไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะเวทนารู้สิ่งใด สัญญาก็รำลึกนึกได้สิ่งนั้น สัญญารำลึกนึกได้สิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม๓ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน เราไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้. )ถามว่า ท่านผู้อาวุโส พระโยคาวะจรมีมโนวิญญาณ อันคือจิตซึ่งสัมปะยุตด้วยรูปาวจรฌานที่๔) อันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์๕ พึงรู้สิ่งซึ่งอะไร? )ตอบว่า ท่านผู้อาวุโส พระโยคาวะจรมีมโนวิญญาณอันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์๕ พึงรู้อากาสานัญจายะตะนะฌานว่า อากาศหาที่สุดมิได้ พึงรู้วิญญาณัญจายะตะนะฌานว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ พึงรู้อากิญจัญญายะตะนะฌานว่า น้อยหนึ่งมิได้มี. เรื่องประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ )ถามว่า พระโยคาวะจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยซึ่งอะไร? )ตอบว่า พระโยคาวะจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ. )ถามว่า ปัญญา มีซึ่งอะไรเป็นประโยชน์? )ตอบว่า ปัญญา มีความรู้ยิ่งเป็นประโยชน์ มีความกำหนดรู้เป็นประโยชน์ มีความละเป็นประโยชน์. )ถามว่า ท่านผู้อาวุโส ก็ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มีเท่าไร? )ตอบว่า ธรรม๒ประการ คือความได้สดับแต่บุคคลอื่น๑ ความทำในใจโดยแยบคาย๑ เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ ธรรม๒ประการนี้แล เป็นปัจจัยเมื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ. )ถามว่า สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรมเท่าไรอนุเคราะห์แล้ว? )ตอบว่า สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม๕ประการ อนุเคราะห์ แล้ว คือ สัมมาทิฏฐิ อันศีลอนุเคราะห์แล้ว๑ อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว๑ อันสากัจฉาอนุเคราะห์แล้ว๑ อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว๑ อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว๑ สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติ เป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม๕ประการนี้แล อนุเคราะห์แล้ว. เรื่องภพและฌาน )ถามว่า ท่านผู้อาวุโส ภพมีเท่าไร? )ตอบว่า ภพมี๓ คือ กามะภพ รูบปะภพ และอรูบปะภพ. )ถามว่า ความเกิดในภพใหม่ในอนาคต มีได้อย่างไร? )ตอบว่า ความยินดียิ่งในอารมณ์นั้นของเหล่าสัตว์ที่มีอวิชชาเป็นนิวรณ์ มีตัณหาเป็นผูกมัดไว้ ความเกิดในภพใหม่ในอนาคตมีได้อย่างนี้. )ถามว่า ความเกิดในภพใหม่ในอนาคต จะไม่มีอย่างไร? )ตอบว่า เพราะความสิ้นแห่งอวิชชา เพราะความเกิดขึ้นแห่งอวิชชา และเพราะความดับแห่งตัณหาอย่างนี้ ความเกิดในภพใหม่ในอนาคต จึงจะไม่มี. )ถามว่า ท่านผู้อาวุโส ปฐมฌาน เป็นไฉน? )ตอบว่า ท่านผู้อาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ฌานนี้พระผู้มีพระภาคกล่าวว่า ปฐมฌาน. )ถามว่า ปฐมฌาน มีองค์เท่าไร? )ตอบว่า ปฐมฌาน มีองค์๕ คือ วิตก๑ วิจาร๑ ปีติ๑ สุข๑ เอกัคคตา๑ ย่อมเป็นไปแก่ภิกษุผู้เข้าปฐมฌานมีองค์๕ อย่างนี้แล. )ถามว่า ปฐมฌาน ละองค์เท่าไร ประกอบด้วยองค์เท่าไร? )ตอบว่า ปฐมฌานละองค์๕ ประกอบด้วยองค์๕ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เข้าปฐมฌาน ละกามะฉันท์ได้แล้ว ละพยาบาทได้แล้ว ละถีนะมิทธะได้แล้ว ละอุทธัจจะกุกกุจจะได้แล้ว ละวิจิกิจฉาได้แล้ว มีวิตก๑ วิจาร๑ ปีติ๑ สุข๑ เอกัคคตา๑ เป็นไปอยู่ ปฐมฌานละองค์๕ ประกอบด้วยองค์๕ อย่างนี้แล. เรื่องอินทรีย์๕ )ถามว่า ท่านผู้อาวุโส อินทรีย์๕ประการนี้คือ ตา๑ หู๑ จมูก๑ ลิ้น๑ กาย๑ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกันและกัน เมื่ออินทรีย์๕ประการนี้ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกันและกัน จะมีซึ่งอะไรเป็นที่อาศัย และธรรมซึ่งอะไรรับรู้วิสัยอันเป็นโคจรแห่งอินทรีย์ เหล่านั้น? )ตอบว่า ท่านผู้อาวุโส อินทรีย์๕ประการนี้ คือ ตา๑ หู๑ จมูก๑ ลิ้น๑ กาย๑ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกันและกัน เมื่ออินทรีย์๕ เหล่านี้ มีวิสัยต่างกัน มีโคจรต่างกัน ไม่รับรู้วิสัยอันเป็นโคจรของกันและกัน มีใจเป็นที่อาศัย ใจย่อมรับรู้วิสัยอันเป็นโคจรแห่งอินทรีย์เหล่านั้น. )ถามว่า ท่านผู้อาวุโส อินทรีย์๕ประการ คือ ตา๑ หู๑ จมูก๑ ลิ้น๑ กาย๑ อินทรีย์๕ นี้ อาศัยซึ่งอะไรตั้งอยู่? )ตอบว่า ท่านผู้อาวุโส อินทรีย์๕ประการนี้นั้น คือตา๑ หู๑ จมูก๑ ลิ้น๑ กาย๑ อาศัยอายุตั้งอยู่. )ถามว่า อายุ อาศัยซึ่งอะไรตั้งอยู่? )ตอบว่า อายุ อาศัยไออุ่นไฟที่เกิดแต่กรรมตั้งอยู่. )ถามว่า ไออุ่น อาศัยซึ่งอะไรตั้งอยู่? )ตอบว่า ไออุ่น อาศัยอายุตั้งอยู่. )ถามว่า เรารู้ทั่วถึงภาษิตของพระสารีบุตรในบัดนี้เองอย่างนี้ว่า อายุอาศัยไออุ่นตั้งอยู่ และว่าไออุ่นอาศัยอายุตั้งอยู่ แต่เราจะพึงเห็นความแห่งภาษิตนี้ได้อย่างไร? )ตอบว่า ถ้าเช่นนั้น เราจักทำอุปมาแก่ท่าน เพราะวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมทราบความแห่งภาษิตได้แม้ด้วยอุปมา เปรียบเหมือนประทีปน้ำมันกำลังติดไฟอยู่ แสงสว่างอาศัยเปลวปรากฎอยู่ เปลวก็อาศัยแสงสว่างปรากฎอยู่ฉันใด อายุอาศัยไออุ่นตั้งอยู่ ไออุ่นก็อาศัยอายุตั้งอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน )ถามว่า อายุสังขาร กับเวทนียะธรรม คือเวทนา เป็นอันเสมอกัน หรือว่า อายุสังขารกับเวทนียะธรรมเป็นคนละอย่าง? )ตอบว่า อายุสังขารกับเวทนียะธรรม ไม่ใช่อันเดียวกัน ถ้าอายุสังขารกับเวทนียะธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว การออกจากสมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธก็ไม่พึงปรากฎ แต่เพราะ อายุสังขารกับเวทนียะธรรมเป็นคนละอย่าง ฉะนั้น การออกจากสมาบัติของภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธจึงปรากฎอยู่. )ถามว่า ดูกรผู้อาวุโส ในเมื่อธรรมเท่าไร ละ กายนี้ไป กายนี้ก็ถูกทอดทิ้งนอนนิ่งเหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา? )ตอบว่า ดูกรผู้อาวุโส ในเมื่อธรรม๓ประการ คือ อายุ ไออุ่น และวิญญาณ ละ กายนี้ไป กายนี้ก็ถูกทอดทิ้ง นอนนิ่ง เหมือนท่อนไม้ที่ปราศจากเจตนา. )ถามว่า สัตว์ผู้ตายทำการ ละไป กับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธ มีความแปลกกันอย่างไร? )ตอบว่า สัตว์ผู้ตายทำการ ละไป มีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขาร ดับระงับไป มีอายุหมดสิ้นไป มีไออุ่นสงบ มีอินทรีย์แตกทำลาย ส่วนภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธ มีกายสังขาร วจีสังขาร และจิตสังขาร ดับระงับไป แต่มีอายุยังไม่หมดสิ้น มีไออุ่นยังไม่สงบ มีอินทรีย์ผ่องใส สัตว์ผู้ตายทำการ ละไป กับภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธ มีความแปลกกัน ฉะนี้. เรื่องปัจจัยเจโตวิมุติ )ถามว่า ดูกรผู้อาวุโส ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติ อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มีเท่าไร? )ตอบว่า ดูกรผู้อาวุโส ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติอันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขมี๔อย่าง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตะถะฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสในก่อนเสียได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติ อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มี๔อย่าง ดังนี้แล. )ถามว่า ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มีเท่าไร? ผู้อาวุโส )ตอบว่า ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี ๒ อย่างคือ การไม่มะนะสิการถึงนิมิตทั้งปวง๑ การมะนะสิการถึงนิพพานธาตุอันไม่มีนิมิต๑ ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี ๒ อย่าง ดังนี้แล. )ถามว่า ปัจจัยแห่งความตั้งอยู่ของเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มีเท่าไร? )ตอบว่า ปัจจัยแห่งความตั้งอยู่ของเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี๓อย่าง คือการมะนะสิการถึงนิมิตทั้งปวง๑ การมะนะสิการถึงนิพพานธาตุอันไม่มีนิมิต๑ อภิสังขารการกำหนดระยะเวลาในเบื้องต้น๑ ปัจจัยแห่งความตั้งอยู่ของเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี๓อย่าง ดังนี้แล. )ถามว่า ปัจจัยแห่งความออกของเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มีเท่าไร? )ตอบว่า ปัจจัยแห่งความออกของเจโตวิมุติอันไม่มีนิมิต มี๒อย่างคือการไม่มะนะสิการถึงนิมิตทั้งปวง๑ การมะนะสิการถึงนิพพานธาตุอันไม่มีนิมิต๑ ปัจจัยแห่งความออกของเจโตวิมุติอันไม่มี นิมิต มี๒อย่าง ดังนี้แล. )ถามว่า ดูกรผู้อาวุโส เจโตวิมุติมีอารมณ์ไม่มีประมาณ เจโตวิมุติมีอารมณ์ว่าไม่มีซึ่งอะไร เจโตวิมุติมีอารมณ์อันว่าง เจโตวิมุติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิตธรรมเหล่านี้ มีอัดถะต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน หรือมีอัดถะอย่างเดียวกันต่างกันแต่เพียงพยัญชนะเท่านั้น? )ตอบว่า ดูกรผู้อาวุโส เจโตวิมุติมีอารมณ์ไม่มีประมาณ เจโตวิมุติมีอารมณ์ไม่มีซึ่งอะไรเจโตวิมุติมีอารมณ์อันว่าง เจโตวิมุติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิต ปะริยายที่บ่งว่าธรรมเหล่านี้ มีอัดถะต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกันก็มี และปะริยายที่บ่งว่า ธรรมเหล่านี้ มีอัดถะอย่างเดียวกัน ต่างกันเพียงพยัญชนะเท่านั้นก็มี. ก็ปะริยายที่บ่งว่า ธรรมเหล่านี้ มีอัดถะต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกันเป็นไฉน? ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ มีจิตด้วยสภาวะด้วยเมตตา แผ่ไปสู่ทิศที่๑อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่๒ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่๓ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่๔ก็อย่างนั้น และมีจิตด้วยสภาวะด้วยเมตตาอันกว้างขวางเป็นส่วนใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกหมดทุกส่วน เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง ในที่ทุกสถานทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้ มีจิตด้วยสภาวะด้วยกรุณา มีจิตด้วยสภาวะด้วยมุทิตา มีจิตด้วยสภาวะด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ที่ทิศที่๑ อยู่ แผ่ไปสู่ทิศที่๒ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่๓ก็อย่างนั้น แผ่ไปสู่ทิศที่๔ก็อย่างนั้น มีจิตด้วยสภาวะด้วยอุเบกขาอันกว้างขวาง เป็นส่วนใหญ่ หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปสู่โลกหมดทุกส่วน เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง ในที่ทุกสถาน ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง อยู่ดังนี้ นี้พระผู้มีพระภาค กล่าวว่า เจโตวิมุติมีอารมณ์อันหาประมาณมิได้. เจโตวิมุติมีอารมณ์ว่าไม่มีซึ่งอะไรเป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ล่วงวิญญาณัญจายะตะนะฌาน โดยประการทั้งปวง บรรลุอากิญจัญญายะตะนะฌาน ด้วยมะนะสิการว่าไม่มีซึ่งอะไรอยู่ ดังนี้ นี้พระผู้มีพระภาคกล่าวว่า เจโตวิมุติมีอารมณ์ว่าไม่มีซึ่งอะไร. เจโตวิมุติมีอารมณ์อันว่าง เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี พิจารณาเห็นว่า สิ่งนี้ว่างจากตนบ้าง จากสิ่งที่เนื่องด้วยตนเอง ดังนี้ นี้พระ ผู้มีพระภาคกล่าวว่า เจโตวิมุติมีอารมณ์อันว่าง. เจโตวิมุติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิต เป็นไฉน? ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเจโตสมาธิอันไม่มีนิมิต เพราะไม่มะนะสิการถึงนิมิตทั้งปวงอยู่ นี้พระผู้มีพระภาคกล่าวว่าเจโตวิมุตติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิต. ดูกรผู้อาวุโส นี้แลปะริยายที่บ่งว่า ธรรมเหล่านี้ มีอัดถะต่างกัน และมีพยัญชนะต่างกัน. ก็ปะริยายที่บ่งว่า ธรรม๔อย่างเหล่านี้ มีอัดถะอย่างเดียวกัน ต่างกันเพียงพยัญชนะเท่านั้นเป็น ไฉน? ราคะอันทำประมาณ โทสะอันทำประมาณ โมหะอันทำประมาณ ราคะเป็นต้นนั้น อันภิกษุ ผู้ขีณาสพ ละ เสียแล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังว่าต้นตาลแล้ว ทำไม่ให้มีต่อไปแล้ว มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา. เจโตวิมุติอันไม่กำเริบ ท่านกล่าวว่า เลิศกว่าเจโตวิมุติมีอารมณ์ไม่มีประมาณทั้งหมด เจโตวิมุติอันไม่กำเริบนั้นแล ว่างจากราคะ ว่างจากโทสะ ว่างจากโมหะ. ราคะอันเป็นเครื่องกังวล โทสะอันเป็นเครื่องกังวล โมหะอันเป็นเครื่องกังวล ราคะเป็นต้นนั้น อันภิกษุผู้ขีณาสพ ละ เสียแล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังว่าต้นตาลแล้ว ทำไม่ให้มีต่อไปแล้ว มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา. เจโตวิมุติอันไม่กำเริบ ท่านกล่าวว่า เลิศกว่าเจโตวิมุติอันมีอารมณ์ว่าไม่มีซึ่งอะไรทั้งหมด. เจโตวิมุติอันไม่กำเริบนั้นแล ว่างจากราคะ ว่างจากโทสะ ว่างจากโมหะ. ราคะอันทำนิมิต โทสะอันทำนิมิต โมหะอันทำนิมิต ราคะเป็นต้นนั้น อันภิกษุผู้ขีณาสพ ละ เสียแล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำไม่ให้มีที่ตั้งดังว่าต้นตาลแล้ว ทำไม่ ให้มีต่อไปแล้ว มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา. เจโตวิมุติอันไม่กำเริบ ท่านกล่าวว่า เลิศกว่าเจโตวิมุติมีอารมณ์อันไม่มีนิมิต เจโตวิมุติอันไม่กำเริบนั้นแล ว่างจากราคะ ว่างจากโทสะ ว่างจากโมหะ. ดูกรผู้อาวุโส นี้แลปะริยายที่บ่งว่า ธรรมเหล่านี้ มีอัดถะอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่เพียง พยัญชนะเท่านั้น. ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวแก้ปัญหานี้แล้ว ท่านพระมหาโกฏฐิกะชื่นชมยินดีภาษิตของท่าน พระสารีบุตร ฉะนี้แล.