ละฑุกิโกปะมะสูตร

บุคคล๔จำพวก

ดูกร บุคคล๔จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก๔จำพวกเป็นไฉน?
ดูกร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อละการก่อเกิด เพื่อสละคืนการก่อเกิด
แต่ความดำริที่แล่นไป อันประกอบด้วยการก่อเกิด ยังครอบงำผู้ปฏิบัติเพื่อละการก่อเกิด เพื่อสละคืนการก่อเกิดนั้นได้อยู่
ผู้นั้นยังรับเอา ความดำรินั้นไว้ ไม่ละ ไม่บรรเทา ไม่ทำให้สิ้นสุด ไม่ให้ถึงความไม่มี
เราเรียกบุคคลนี้แลว่า ผู้อันกิเลสประกอบไว้
ไม่ใช่ผู้อันกิเลสคลายแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะความที่อินทรีย์เป็นของต่างกันในบุคคลนี้ เรารู้แล้ว.

ดูกร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อละการก่อเกิด เพื่อสละคืนการก่อเกิด
ความดำริที่แล่นไป อันประกอบด้วยการก่อเกิด ยังครอบงำผู้ปฏิบัติเพื่อละการก่อเกิด เพื่อสละคืนการก่อเกิดนั้นได้อยู่
แต่ผู้นั้นไม่รับเอาความดำริเหล่านั้นไว้ ละได้ บรรเทาได้ ทำให้สิ้นสุดได้ ให้ถึงความไม่มีได้
แม้บุคคลผู้นี้ เราก็กล่าวว่า ผู้อันกิเลสประกอบไว้
ไม่ใช่ผู้อันกิเลสคลายแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะความที่อินทรีย์เป็นของต่างกันในบุคคลนี้ เรารู้แล้ว.

ดูกร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อละการก่อเกิด เพื่อสละคืนการก่อเกิด
ความดำริที่แล่นไป อันประกอบด้วยการก่อเกิด ยังครอบงำผู้ปฏิบัติเพื่อละการก่อเกิด
เพื่อสละคืนการก่อเกิดนั้นได้อยู่ เพราะความหลงลืมแห่งสติในบางครั้งบางครา
ความดำริที่แล่นไป อันประกอบด้วยการก่อเกิด ยังครอบงำผู้ปฏิบัติเพื่อละการก่อเกิด
เพื่อสละคืนการก่อเกิดนั้นได้อยู่ ความบังเกิดแห่งสติช้าไป ที่จริงเขาละ บรรเทา
ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี ซึ่งความดำรินั้นฉับพลัน.

ดูกร เปรียบเหมือน บุรุษเอาหยาดน้ำสองหยาด หรือสามหยาด
หยาดลงในกะทะเหล็กอันร้อนอยู่ตลอดวัน หยาดน้ำตกลงช้าไป
ความจริงหยาดน้ำถึงความสิ้นไปแห้งไปนั้นเร็วกว่า ฉันใด
ดูกร บุคคล บางคนในโลกนี้ ก็ฉันนั้น เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อละการก่อเกิด เพื่อสละคืนการก่อเกิด
ความดำริแล่นไป อัน ประกอบด้วยการก่อเกิด ยังครอบงำผู้ปฏิบัติเพื่อละการก่อเกิด
เพื่อสละคืนการก่อเกิดนั้นได้อยู่ เพราะความหลง ลืมแห่งสติในบางครั้งบางครา
ความบังเกิดแห่งสติช้าไป ที่จริงเขาละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี
ซึ่งความดำรินั้นฉับพลัน ถึงบุคคลนี้เราก็กล่าวว่า ผู้อันกิเลสประกอบไว้
มิใช่ผู้อันกิเลสคลายแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความที่อินทรีย์เป็นของต่างกันในบุคคลนี้ เรารู้แล้ว.

ดูกร ก็บุคคลบางคนในโลกนี้ รู้ว่าเบญจขันธ์อันชื่อว่าการก่อเกิดเป็นมูลแห่งทุกข์
ครั้นรู้ดังนี้แล้ว เป็นผู้ไม่มีการก่อเกิด แล้วน้อมจิตไปในนิพพานเป็นที่สิ้นการก่อเกิด
บุคคลนี้เรากล่าวว่า ผู้อันกิเลสคลายแล้ว มิใช่ผู้อันกิเลสประกอบไว้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะความที่อินทรีย์เป็นของต่างกันในบุคคลนี้ เรารู้แล้ว.
ดูกร บุคคล๔จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก.

ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน
มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิด แต่สมาธิอยู่ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
บรรลุจตุตะถะฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ
ได้มีอุเบกขา เป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ฌานทั้งสี่นี้เรากล่าวว่า
ความสุขเกิดแต่ความออกจากกาม ความสุข เกิดแต่ความสงัด ความสุขเกิดแต่ความสงบ
ความสุขเกิดแต่ความสัมโพธิ อันบุคคลควรเสพ ควรให้เกิดมี ควรทำให้มาก ไม่ควรกลัวแต่สุขนั้น ดังนี้.

ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่. ดูกร ปฐมฌานเรากล่าวว่ายัง หวั่นไหว ก็ในปฐมฌานนั้น
ยังมีอะไรหวั่นไหว ข้อที่วิตกและวิจารยังไม่ดับในปฐมฌานนี้ เป็น
ความหวั่นไหวในปฐมฌานนั้น. ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใส แห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและ
สุขเกิดแต่สมาธิอยู่. ดูกร แม้ทุติยฌานนี้ เราก็กล่าวว่ายังหวั่นไหว ก็ในทุติยฌานนั้น
ยังมีอะไรหวั่นไหว ข้อที่ปีติและสุขยังไม่ดับในทุติยฌานนี้
เป็นความหวั่นไหวในทุติยฌานนั้น. ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ
เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะ ปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข.
ดูกร แม้ตติยฌานนี้ เราก็กล่าวว่ายังหวั่นไหว ก็ในตติยฌานนั้นยังมีอะไรหวั่นไหว
ข้อที่อุเบกขาและสุขยังไม่ดับในตติยฌานนี้ เป็นความหวั่นไหวในตติยฌานนั้น.
ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตะถะฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์
และ ดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่.
จตุตะถะฌานนี้ เรากล่าวว่า ไม่หวั่นไหว.

ว่าด้วยการละรูปฌานและอรูปฌาน

ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่.
ปฐมฌานนี้เรากล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละเสีย จงก้าวล่วงเสีย.

ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงปฐมฌานนั้น
ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
นี้เป็น ธรรมเครื่องก้าวล่วงปฐมฌานนั้น.
ดูกร แม้ทุติยฌานนี้เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละเสีย จงก้าวล่วงเสีย.

ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงทุติยฌานนั้น
ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุข ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข
นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงตติยฌานนั้น.
ดูกร แม้ตติยฌานนี้เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละเสีย จงก้าวล่วงเสีย.

ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงตติยฌานนั้น
ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตะถะฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์
และ ดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วง ตติยฌานนั้น.
ดูกร แม้จตุตะถะฌานนี้เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลาย จงละเสีย จงก้าวล่วงเสีย.

ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงจตุตะถะฌานนั้น
ดูกร ภิกษุ ในธรรมวินัยนี้ บรรลุอากาสานัญจายะตะนะฌานด้วยบริกัมว่า อากาศไม่มีที่สุด
เพราะล่วงรูปสัญญา ได้โดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆะสัญญาได้
เพราะไม่มะนะสิการนานัตตสัญญาอยู่ นี้เป็นธรรม เครื่องก้าวล่วงจตุตะถะฌานนั้น.
ดูกร แม้อากาสานัญจายะตะนะฌานนั้น เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำ ความอาลัย
เธอทั้งหลายจงละเสีย จงก้าวล่วงเสีย.

ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงอากาสานัญจายะตะนะฌานนั้น
ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุวิญญาณัญจายะตะนะฌาน ด้วยบริกัมว่า วิญญาณไม่มีที่สุด
เพราะล่วงอากาสานัญจายะตะนะฌานได้ โดยประการทั้งปวงอยู่ นี้เป็นธรรม
เครื่องก้าวล่วงอากาสานัญจายะตะนะฌานนั้น.
ดูกร แม้วิญญาณัญจายะตะนะฌานนี้ เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย
เธอทั้งหลายจงละเสีย จงก้าวล่วงเสีย.

ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วง วิญญาณัญจายะตะนะฌานนั้น
ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุอากิญจัญญายะตะนะฌาน ด้วย บริกัมว่า ไม่มีอะไร
เพราะล่วงวิญญาณัญจายะตะนะฌานได้โดยประการทั้งปวงอยู่
นี้เป็นธรรม เครื่องก้าวล่วงวิญญาณัญจายะตะนะฌานนั้น. แม้อากิญจัญญายะตะนะฌานนั้น
เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย เธอทั้งหลายจงละเสีย จงก้าวล่วงเสีย.
ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงอากิญจัญญายะตะนะฌานนั้น

ดูกร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะฌาน
เพราะล่วงอากิญจัญญายะตะนะฌานได้โดยประการทั้งปวงอยู่
นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงอากิญจัญญายะตะนะฌานนั้น
แม้เนวะสัญญานาสัญญายะตะนะฌานนี้เราก็กล่าวว่า ไม่ควรทำความอาลัย
เธอทั้งหลายจงละเสีย จงก้าวล่วงเสีย.

ก็อะไรเล่าเป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะฌานนั้น
ดูกร ที่ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บรรลุสัญญาเวทะยิตนิโรธ
เพราะล่วงเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะฌาน ได้โดยประการทั้งปวงอยู่
นี้เป็นธรรมเครื่องก้าวล่วงเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะฌานนั้น.
เรากล่าว การละกระทั่งเนวะสัญญานาสัญญายะตะนะฌาน ด้วยประการฉะนี้แล.

ดูกร เธอเห็นหรือไม่ ซึ่งสังโยชน์ละเอียดก็ดี หยาบก็ดีนั้น ที่เรามิได้กล่าวถึงการละนั้น?