จูฬเวทัลละสูตร การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:- สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถานที่ให้เหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น วิสาขาอุบาสกเข้าไปหาธรรมทินะนาภิกษุณีถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง นะ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. เรื่องสักกายะทิฏฐิ วิสาขาอุบาสกครั้นนั่งแล้ว ได้ถามธรรมทินะนาภิกษุณีว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะ สักกายะ ดังนี้ ธรรมอะไรที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะ? ธรรมทินนาภิกษุณีตอบว่า ดูกรวิสาขา อุปาทานขันธ์๕ คืออุปาทานในรูปขันธ์๑ อุปาทานในเวทะนาขันธ์๑ อุปาทานในสัญญาขันธ์๑ อุปาทานในสังขารขันธ์๑ อุปาทานในวิญญาณขันธ์๑ อุปาทานขันธ์๕ นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะ. วิสาขาอุบาสก ชื่นชมอนุโมทนา ภาษิตของธรรมทินนาภิกษุณีว่า ถูกละ พระแม่เจ้า ดังนี้แล้ว ได้ถามปัญหาต่อไปว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะสมุทัย สักกายะสมุทัย ดังนี้ ธรรมอะไรที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่าสักกายะสมุทัย? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ตัณหาอันทำให้เกิดในภพใหม่ สะหะระคตมีสภาวะด้วยความกำหนัดยินดี เพลิดเพลินยิ่งในอารมณ์นั้นๆ คือ กามะตัณหา ภะวะตัณหา วิภะวะตัณหา ตัณหานี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะสมุทัย. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะนิโรธ สักกายะนิโรธดังนี้ ธรรมอะไร ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะนิโรธ? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ความดับด้วย วิราคะความคลายกำหนัดไม่มีเหลือ ความสละ ความสลัดคืน ความปล่อย ความไม่พัวพันด้วยตัณหานั้น นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะนิโรธ. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะนิโรธะคามินีปฏิปทา สักกายะนิโรธะคามินีปฏิปทา ดังนี้ ธรรมอะไรที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะนิโรธะคามินีปฏิปทา? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา อริยะมรรคมีองค์๘ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ๑ ความดำริชอบ๑ วาจาชอบ๑ ทำการงานชอบ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ๑ ความเพียรชอบ๑ ความระลึกชอบ๑ ความตั้งจิตไว้ชอบ๑ นี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สักกายะนิโรธะคามินีปฏิปทา. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ เป็นอันเดียวกัน หรืออุปาทาน เป็นอย่างอื่นจากอุปาทานขันธ์ทั้ง๕? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ หาใช่อันเดียวกันไม่ อุปาทานเป็นอย่างอื่นจากอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ ก็หาใช่ไม่ ความกำหนัดพอใจในอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ เป็นอุปาทาน ในอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ นั้น. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สักกายะทิฏฐิมีได้อย่างไร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัปบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็นตนว่ามีรูปบ้าง ตามเห็นรูปในตนบ้าง ตามเห็นตนในรูปบ้าง ย่อมตามเห็นเวทะนา ย่อมตามเห็นสัญญา ย่อมตามเห็นสังขารทั้งหลาย ย่อมตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ตามเห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ตามเห็นตนในวิญญาณบ้าง อย่างนี้แล สักกายะทิฏฐิจึงมีได้. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อย่างไรสักกายะทิฏฐิจึงจะไม่มี ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา อริยะสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ ได้เห็นพระอริยะ ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ ได้เห็นสัปบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัปบุรุษ ฝึกดีแล้วในธรรมของสัปบุรุษ ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็น ตนว่ามีรูปบ้าง ไม่ตามเห็นรูปในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนในรูปบ้าง ย่อมไม่ตามเห็นเวทะนา ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา ย่อมไม่ตามเห็นสังขารทั้งหลาย ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนว่ามีวิญญาณบ้าง ไม่ตามเห็นวิญญาณในตนบ้าง ไม่ตามเห็นตนใน วิญญาณบ้าง อย่างนี้แล สักกายะทิฏฐิจึงจะไม่มี. เรื่องมรรค๘ กับขันธ์๓ วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อริยมรรคมีองค์๘ ไฉน? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา อริยมรรคมีองค์๘นี้ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ๑ ความดำริชอบ๑ วาจาชอบ๑ ทำการงานชอบ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ๑ ความเพียรชอบ๑ ความระลึกชอบ๑ ความตั้งจิตไว้ชอบ๑. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อริยมรรคมีองค์๘ เป็นสังขะตะหรือเป็นอะสังขะตะ อันมีและ ไม่มีเหตุปัจจัยผสมปรุงแต่งให้มีขึ้น จากธาตุทั้ง๖ ได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ อากาศธาตุ และ วิญญาณธาตุ? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา อริยมรรคมีองค์๘ เป็นสังขะตะ. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ขันธ์๓ อันได้แก่กองศีล กองสมาธิ กองปัญญา พระผู้มีพระภาค ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์๘ หรือว่าอริยมีองค์๘ พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วยขันธ์๓. ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ขันธ์๓ พระผู้มีพระภาคไม่ทรงสงเคราะห์ด้วยอริยมรรคมีองค์๘ ส่วนอริยมรรคมีองค์๘ พระผู้มีพระภาคทรงสงเคราะห์ด้วยขันธ์๓ คือ วาจาชอบ๑ ทำการงานชอบ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยศีลขันธ์ ความเพียรชอบ๑ ความระลึกชอบ๑ ความตั้งจิตไว้ชอบ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยสมาธิขันธ์ ปัญญาอันเห็นชอบ๑ ความดำริชอบ๑ ทรงสงเคราะห์ด้วยปัญญาขันธ์. เรื่องสมาธิและ สังขาร วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ธรรมอย่างไร เป็นสมาธิ ธรรมเหล่าใดเป็นนิมิตของสมาธิ ธรรมเหล่าใดเป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิ การทำให้สมาธิเจริญ เป็นอย่างไร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอย่างเดียว เป็นสมาธิ สติปัฏฐาน๔ เป็นนิมิตของสมาธิ สัมมัปปะธาน๔ เป็นเครื่องอุดหนุนสมาธิความเสพคุ้น ความเจริญ ความทำให้มากซึ่งธรรมเหล่านั้นแหละ เป็นการทำให้สมาธิเจริญ. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สังขาร มีเท่าไร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา สังขารเหล่านี้ มี๓ ประการคือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตะสังขาร. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็กายสังขาร เป็นอย่างไร วจีสังขารเป็นอย่างไร จิตตะสังขารเป็น อย่างไร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ลมหายใจออกและ ลมหายใจเข้า เป็นกายสังขาร วิตกและ วิจาร เป็นวจีสังขาร สัญญาและ เวทะนา เป็นจิตตะสังขาร. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เหตุไร ลมหายใจออกและ ลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร วิตกและ วิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและ เวทะนา จึงเป็นจิตตะสังขาร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ลมหายใจออกและ ลมหายใจเข้าเหล่านี้ เป็นธรรมมีในกาย เนื่องด้วยกาย ฉะนั้น ลมหายใจออกและ ลมหายใจเข้า จึงเป็นกายสังขาร บุคคลย่อมตรึก ย่อมตรองก่อนแล้ว จึงเปล่งวาจา ฉะนั้น วิตกและ วิจาร จึงเป็นวจีสังขาร สัญญาและ เวทะนา เป็นธรรมมีในจิต เนื่องด้วยจิต ฉะนั้นสัญญาและ เวทะนา จึงเป็นจิตตะสังขาร. เรื่องสัญญาเวทะยิตนิโรธ วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การเข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธ เป็นอย่างไร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ภิกษุผู้เข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธ มิได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราจักเข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธ ว่าเรากำลังเข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธอยู่ ว่าเราเข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธแล้ว ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อันท่านให้เกิดแล้วตั้งแต่แรก. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธ ธรรม คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตะสังขาร อย่างไหน ย่อมดับไปก่อน? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทะยิตนิโรธ วจีสังขารดับก่อน ต่อจากนั้น กายสังขารก็ดับ จิตตะสังขารดับทีหลัง. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็การออกจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติ เป็นอย่างไร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ภิกษุผู้ออกจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติ มิได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราจักออกจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติ ว่าเรากำลังออกจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติ ว่าเราออกจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ก็แต่ความคิดอันนำเข้าไปเพื่อความเป็นอย่างนั้น อันท่านให้เกิดแล้วแต่แรก. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติ ธรรมคือกายสังขาร วจีสังขาร จิตตะสังขาร อย่างไหนเกิดขึ้นก่อน. ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา เมื่อภิกษุออกจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติ จิตตะสังขารเกิด ขึ้นก่อน ต่อจากนั้นกายสังขารก็เกิดขึ้น วจีสังขารเกิดขึ้นทีหลัง. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ผัสสะเท่าไร ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติ? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ผัสสะ๓ประการ คือ ผัสสะชื่อสุญญะตะการรู้สึกว่าว่าง ผัสสะชื่ออะนิมิตตะการรู้สึกว่าไม่มีนิมิต) และ ผัสสะชื่ออัปปะณิหิตะการรู้สึกว่าไม่มีที่ตั้ง) ย่อมถูกต้องภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติ. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติ. มีจิตน้อมไปในธรรมอะไร โอนไปในธรรมอะไร เอนไปในธรรมอะไร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ภิกษุผู้ออกแล้วจากสัญญาเวทะยิตนิโรธสมาบัติ มีจิตน้อมไปใน วิเวก โอนไปในวิเวก เอนไปในวิเวก. เรื่องเวทะนา วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า เวทะนามีเท่าไร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา เวทะนานี้มี๓ประการคือ สุขะเวทะนา๑ ทุกขะเวทะนา๑ อะทุกขะมะสุขะเวทะนา๑. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สุขะเวทะนาเป็นอย่างไร ทุกขะเวทะนาเป็นอย่างไร อะทุกขะมะสุขะเวทะนา เป็นอย่างไร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุขสำราญ อันเป็นไปทางกาย หรือ เป็นไปทางจิต นี่เป็นสุขะเวทะนา ความเสวยอารมณ์ที่เป็นทุกข์ไม่สำราญ อันเป็นไปทางกาย หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็นทุกขะเวทะนา ความเสวยอารมณ์ที่มิใช่ความสำราญ และ มิใช่ความไม่ สำราญ เป็นส่วนกลางมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ อันเป็นไปทางกาย หรือเป็นไปทางจิต นี่เป็น อะทุกขะมะสุขะเวทะนา. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็สุขะเวทะนา เป็นสุขเพราะอะไร เป็นทุกข์เพราะอะไร? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา สุขะเวทะนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป ทุกขะเวทะนา เป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะแปรไป อะทุกขะมะสุขะเวทะนา เป็นสุขเพราะรู้ชอบ เป็นทุกข์เพราะรู้ผิด. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อนุสัยอะไร ตามนอนอยู่ในสุขะเวทะนา อนุสัยอะไร ตามนอน อยู่ในทุกขะเวทะนา อนุสัยอะไร ตามนอนอยู่ในอะทุกขะมะสุขะเวทะนา? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ราคะนุสัย ตามนอนอยู่ในสุขะเวทะนา ปฏิฆะนุสัย ตามนอน อยู่ในทุกขะเวทะนา อวิชชานุสัยตามนอนอยู่ในอะทุกขะมะสุขะเวทะนา. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ราคะนุสัยตามนอนอยู่ในสุขะเวทะนาทั้งหมด ปฏิฆะนุสัยตามนอนอยู่ในทุกขะเวทะนาทั้งหมด อวิชชานุสัยตามนอนอยู่ในอะทุกขะมะสุขะเวทะนาทั้งหมด หรือ? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ราคะนุสัย ตามนอนอยู่ในสุขะเวทะนาทั้งหมดหามิได้ ปฏิฆะนุสัย ตามนอนอยู่ในทุกขะเวทะนาทั้งหมด หามิได้ อวิชชานุสัย ตามนอนอยู่ใน อะทุกขะมะสุขะเวทะนาทั้งหมด หามิได้. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ธรรมอะไรจะพึง ละ ได้ในสุขะเวทะนา ธรรมอะไร จะพึง ละ ได้ใน ทุกขะเวทะนา ธรรมอะไรจะพึง ละ ได้ในอะทุกขะมะสุขะเวทะนา? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ราคะนุสัย จะพึง ละ ได้ในสุขะเวทะนา ปฏิฆะนุสัย จะพึง ละ ได้ในทุกขะเวทะนา อวิชชานุสัยจะพึง ละ ได้ในอะทุกขะมะสุขะเวทะนา. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็ราคะนุสัยจะพึง ละ เสียได้ในสุขะเวทะนาทั้งหมด ปฏิฆะนุสัยจะพึง ละ เสียได้ในทุกขะเวทะนาทั้งหมด อวิชชานุสัยจะพึง ละ เสียได้ในอะทุกขะมะสุขะเวทะนาทั้งหมด หรือ? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ราคะนุสัยจะพึง ละ เสียได้ในสุขะเวทะนาทั้งหมด หามิได้ ปฏิฆะนุสัยจะพึง ละ เสียได้ในทุกขะเวทะนาทั้งหมด หามิได้ อวิชชานุสัยจะพึง ละ เสียได้ในอะทุกขะมะสุขะเวทะนาทั้งหมด หามิได้ ดูกรวิสาขา ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกมีวิจาร มีปีติและ สุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่ ย่อม ละ ราคะด้วยปฐมฌานนั้น ราคะนุสัย มิได้ตามนอนอยู่ในปฐมฌานนั้น อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นอยู่ว่า เมื่อไรเราจะได้บรรลุอายะตะนะที่พระอริยะทั้งหลายบรรลุแล้วอยู่ในบัดนี้ ดังนี้ เมื่อภิกษุนั้นเข้าไปตั้งความปรารถนาในวิโมกข์ทั้งหลายอันเป็นอนุตตะระธรรมอย่างนี้ โทมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะความปรารถนาเป็นปัจจัย ท่านละ ปฏิฆะได้ด้วยความโทมนัสนั้น ปฏิฆะนุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในความโทมนัสนั้น อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บรรลุจตุตะถะฌาน อันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละ สุข ละ ทุกข์ และ ดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆได้ มีอุเบกขาเป็น เหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ย่อมละ อวิชชาได้ด้วยจตุตะถะฌานนั้น อวิชชานุสัยมิได้ตามนอนอยู่ในจตุตะถะฌานนั้น. วิสาขาถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ก็อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งสุขะเวทะนา? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ราคะเป็นส่วนเปรียบแห่งสุขะเวทะนา. วิสาขาถามว่า อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งทุกขะเวทะนา? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ปฏิฆะเป็นส่วนแห่งเปรียบแห่งทุกขะเวทะนา. วิสาขาถามว่า อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งอะทุกขะมะสุขะเวทะนา? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า อวิชชาเป็นส่วนเปรียบแห่งอะทุกขะมะสุขะเวทะนา. วิสาขาถามว่า อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งอวิชชา? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า วิชชาเป็นส่วนเปรียบแห่งอวิชชา. วิสาขาถามว่า อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งวิชชา? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า วิมุติเป็นส่วนเปรียบแห่งวิชชา. วิสาขาถามว่า อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งวิมุติ? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า นิพพานเป็นส่วนเปรียบแห่งวิมุติ? วิสาขาถามว่า อะไรเป็นส่วนเปรียบแห่งนิพพาน? ธรรมทินะนาภิกษุณีกล่าวว่า ดูกรวิสาขา ท่านล่วงเลยปัญหาเสียแล้ว ไม่อาจถือเอาส่วนสุดแห่งปัญหาได้ ดูกรวิสาขา เพราะพรหมจรรย์หยั่งลงในพระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นที่ถึงในเบื้องหน้า มีพระนิพพานเป็นที่สุด ถ้าท่านคิดสงสัยอยู่ ก็พึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ทูลถามเนื้อความนี้เถิด พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์แก่ท่านอย่างใด ท่านพึงจำทรงพระพยากรณ์นั้นไว้ อย่างนั้นเถิด. วิสาขาอุบาสกสรรเสริญธรรมทินนาภิกษุณี ลำดับนั้น วิสาขาอุบาสก ชื่นชม อนุโมทนา ภาษิตของธรรมทินนาภิกษุณี แล้ว ลุกจากอาสะนะ อภิวาทธรรมทินนาภิกษุณี ทำประทักษิณแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่งอยู่ นะ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลเรื่องที่ตนสนทนาธรรมกะถากับธรรมทินะนาภิกษุณีให้ทรงทราบทุกประการ. เมื่อวิสาขาอุบาสกกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูกรวิสาขา ธรรมทินะนาภิกษุณีเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก แม้หาก ท่านพึงสอบถามเนื้อความนั้นกะเรา แม้เราก็พึงพยากรณ์เนื้อความนั้น เหมือนที่ธรรมทินะนาภิกษุณีพยากรณ์แล้ว เนื้อความแห่งพยากรณ์นั้น เป็นดังนั้นนั่นแล ท่านพึงจำทรงไว้อย่างนั้นเถิด. พระผู้มีพระภาคได้กล่าวเช่นนี้แล้ว วิสาขาอุบาสก ชื่นชม ยินดี พระภาษิตของ พระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนั้นแล.